The Big Brief: วิกฤติค่าครองชีพสั่นคลอนชีวิตของคนออสเตรเลียด้านใดบ้าง

ALC THAI THE BIG BRIEF - BSP HEADER (2).jpg

ลอร่าและมิทช์มีลูกแฝดและพบว่าค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้พวกเขาใช้ชีวิตยากลำบากมากขึ้น Credit: SBS

วิกฤติค่าครองชีพยังคงส่งผลกระทบต่อคนออสเตรเลียจำนวนมากและยิ่งไปกว่านั้นผลกระทบดังกล่าวลุกลามเกินกว่าคำว่า “จ่ายบิลไม่ไหว”


ลอร่า วิลสันและคู่หมั้นของเธอ มิทช์ สจ๊วต เคยมีชีวิตที่มั่นคง ทั้งคู่มีงานดี มีบ้านเป็นของตัวเองในบริสเบน และกำลังอยู่ในช่วงวางแผนจัดงานแต่งงาน แต่แล้ววันหนึ่ง ข่าวร้ายที่ไม่คาดคิดก็มาถึง ข่าวที่เปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล

เพราะพวกเขากำลังจะมีลูกแฝด ยิ่งไปกว่านั้นการตั้งครรภ์ครั้งนี้เต็มไปด้วยความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูง และปัญหาก็ยังคงดำเนินต่อไปหลังการคลอด ทำให้ทั้งคู่ต้องเผชิญความยากลำบากในการดูแลลูกๆ ด้วยตัวเอง

“เราต้องย้ายไปอยู่บ้านแม่พร้อมลูกแฝดของเรา” ลอร่ากล่าวกับรายการ Insight

จากข้อมูลของสมาคมผู้ปกครองลูกแฝดแห่งออสเตรเลีย (Australian Multiple Birth Association) การเลี้ยงดูเด็กแฝดมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเด็กคนเดียวถึง 5 เท่า

เมื่อรวมกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยิ่งทำให้ครอบครัวของลอร่าต้องเผชิญกับภาระทางการเงินและปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น

“เราก็อยากจะไปพบจิตแพทย์หรือเข้ารับการบำบัด พาลูกไปหาหมอ หรือแม้แต่ไปหาหมอฟัน แต่เราต้องลดค่าใช้จ่ายตรงนั้นลง เพื่อให้ความสำคัญกับสุขภาพของลูกก่อน” ลอร่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า
และเมื่อครอบครัวต้องรัดเข็มขัดเพื่อลดรายจ่าย ลอร่า ซึ่งเคยทำงานด้านการตลาดและตอนนี้กลายมาเป็นคุณแม่เต็มเวลา บอกว่าสิ่งที่เธอคิดถึงมากที่สุดคือการได้เข้าสังคม

“การได้ออกไปข้างนอก ไปกินข้าวข้างนอก มันเป็นเหมือนกิจกรรมทางสังคม แม้ว่าจะไปคนเดียวก็ตาม ถึงเราจะทำอาหารอร่อยๆ กินที่บ้านได้ในราคาถูก แต่ฉันก็ยังคิดถึงบรรยากาศแบบนั้นอยู่ดี”

เธอยังบอกอีกว่า หลังจากมีลูก การกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นเรื่องยากมาก “พอมันยากที่จะหางานได้ ก็ยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมาก และมันส่งผลต่อสุขภาพจิตของฉันอย่างมาก”

นอกจากจะต้องรับมือกับปัญหาชีวิตส่วนตัวแล้ว ในฐานะผู้อำนวยการอาสาสมัครของสมาคมผู้ปกครองลูกแฝดแห่งออสเตรเลีย ลอร่ายังเปิดเผยว่าองค์กรเองก็กำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนักเช่นกัน

เนื่องจากจำนวนอาสาสมัครลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อทั้งการดำเนินงานของสมาคมและสุขภาวะของคนในชุมชน

แนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วออสเตรเลีย

ข้อมูลจากสำนักสถิติออสเตรเลียระบุว่า อัตราการทำงานอาสาสมัครทั่วประเทศยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าก่อนการระบาดของโควิดอย่างมีนัยสำคัญ

เคต ไลเซ็ต หัวหน้านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยดีคิน ผู้ทำการศึกษาดัชนีความเป็นอยู่ที่ดีของออสเตรเลีย (Australian Unity Wellbeing Index) กล่าวว่า เมื่อผู้คนไม่มีเวลาเหลือพอที่จะช่วยเหลือชุมชน ผลกระทบที่ตามมาจะกว้างขวางมาก

“การขาดอาสาสมัครและการเชื่อมโยงกันในชุมชนจะส่งผลรุนแรงยิ่งขึ้นในพื้นที่ยากจน เพราะผู้คนในพื้นที่เหล่านี้ต้องทำงานมากขึ้นจนไม่มีเวลาเหลือเลย” เธอกล่าวกับรายการ Insight

“ฉันคิดว่าเราจะเห็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้า และสะท้อนถึงความล้มเหลวของนโยบายภาครัฐ”

ชาวออสเตรเลียจำนวนมากเลื่อนการรักษาด้านสุขภาพจิต

สำหรับออร์เนลลา มูตู นักจิตวิทยาในเมืองบริสเบน จำนวนผู้เข้ารับคำปรึกษากับเธอลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

“ทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่ามีปัญหาด้านการเงิน” ออร์เนลลากล่าวกับ Insight

นักจิตวิทยาวัย 35 ปีรายนี้คิดค่าบริการต่ำกว่าราคาที่สมาคมนักจิตวิทยาออสเตรเลีย (Australian Psychological Society) แนะนำ ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่เธอบอกว่า “พบได้ทั่วไปในหมู่เพื่อนร่วมอาชีพ” เพื่อให้บริการยังเข้าถึงได้สำหรับผู้คน

แต่ก็กลายเป็นเรื่องท้าทายมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจยังคงพุ่งสูง
ออร์เนลลาต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการบริหารคลินิกด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันก็เริ่มมองหางานพาร์ตไทม์เพื่อเสริมรายได้

และกำลังพิจารณาทำงานนานขึ้น รวมถึงในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วย เธอยังต้องพักความฝันส่วนตัวไว้ชั่วคราวเช่นกัน

“ตอนนี้ฉันยังเช่าบ้านอยู่ เพราะไม่สามารถซื้อบ้านด้วยตัวเองได้” ออร์เนลลากล่าว

“เมื่อปีที่แล้ว ฉันตัดสินใจเก็บไข่แช่แข็งไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าฉันจะสามารถมีครอบครัวได้ในอนาคต กระบวนการนี้มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ไม่เพียงแต่ในแง่การเงิน แต่ยังรวมถึงความรู้สึกและสภาพจิตใจด้วย”
News
ผลกระทบของค่าครองชีพต่อสุขภาพจิตและความสัมพันธ์ของชาวออสเตรเลีย Source: SBS
เมื่อคนออสเตรเลียจำนวนมากจำเป็นต้องลดความสำคัญของการเข้ารับการบำบัดทางจิตใจเพื่อใช้จ่ายกับสิ่งจำเป็นอื่น ๆ ออร์เนลลาจึงรู้สึกกังวลกับการที่บริการสุขภาพจิตกำลังกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ

ข้อมูลจากคณะกรรมาธิการสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Mental Health Commission) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2025 ระบุว่า ชาวออสเตรเลีย 1 ใน 5 คน เลื่อนหรือหลีกเลี่ยงการไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพราะเหตุผลทางการเงิน

“สุขภาพจิตไม่ควรถูกมองว่าเป็นของฟุ่มเฟือย เพระมันคือสุขภาพของคุณในท้ายที่สุด” ออร์เนลลากล่าว.

วิกฤติสุขภาพจิตที่กำลังลุกลามในออสเตรเลีย

ผลสำรวจของ Compare the Market ปี 2025 พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของชาวออสเตรเลีย (48.7%) ระบุว่าแรงกดดันจากค่าครองชีพทำให้อาการวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าของพวกเขาแย่ลง

หรือเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดปัญหาดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม การนอนหลับ และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือคนรุ่นใหม่ — โดยเฉพาะ เจเนอเรชัน Z ถึง 72% และ มิลเลนเนียล 56.6%

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเตือนว่า สุขภาพจิตที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญของการใช้ชีวิตในทุกด้าน หากละเลยหรือไม่ดูแลสุขภาพจิต อาจนำไปสู่ผลกระทบตามมา

เช่น อารมณ์แปรปรวน ภาวะเห็นคุณค่าในตนเองลดลง เสี่ยงต่อโรคทางกายมากขึ้น พลังงานและแรงจูงใจลดลง รวมถึงมีปัญหาในการนอน การกิน และสมาธิในการทำงานหรือเรียนรู้
เคต ไลเซ็ต นักวิจัยจากเมลเบิร์นกล่าวว่า ชาวออสเตรเลียที่ไม่สามารถจัดการกับความต้องการพื้นฐานอย่างที่อยู่อาศัยและอาหารได้ ก็มักจะประสบปัญหาด้านสุขภาพจิตตามมา

“ถ้าคุณยังไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานเหล่านั้นได้ คุณก็มีแนวโน้มที่จะมีระดับความเป็นอยู่ที่ต่ำ แต่เมื่อผ่านจุดนั้นไปได้ เงินอาจจะไม่ได้มีความสำคัญเท่าเดิม"

"เพียงแต่ตอนนี้ ‘จุดที่ว่านั้น’ มันเปลี่ยนไป เพราะสิ่งที่คนเคยสามารถซื้อได้ด้วยรายได้ครัวเรือนระดับปานกลางในออสเตรเลีย กลับแพงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา” เคตกล่าว

อย่างไรก็ตาม เธอเสริมว่า สิ่งจำเป็นพื้นฐานไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่มนุษย์ต้องการ ความสัมพันธ์กับผู้อื่นและความรู้สึกว่าชีวิตมีเป้าหมายก็สำคัญเช่นกัน

“วิกฤติค่าครองชีพกำลังบั่นทอนสองสิ่งนี้ไปพร้อมกัน หากคุณไม่มีเงินหรือเวลาไปทำสิ่งที่ให้ความหมายกับชีวิต ระดับความเป็นอยู่ของคุณก็จะลดลง และถ้าคุณไม่มีเงินพอจะออกไปพบปะผู้คนหรือแค่จิบกาแฟกับเพื่อน ก็ย่อมส่งผลต่อความสัมพันธ์ของคุณโดยตรง

ผู้คนต้องทำงานหนักขึ้นเพียงเพื่อให้พออยู่ได้ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่มีเวลาเหลือที่จะมีส่วนร่วมกับชุมชนเลย”

ความอับอายและความรู้สึกละอายใจ

เมื่อช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมา แคทเธอรีนและบ็อบ (สงวนนามสกุล) มีเงินเหลือในบัญชีเพียง 40 ดอลลาร์ออสเตรเลีย เท่านั้น

หลังจากบ็อบตกงาน ทั้งคู่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเลี้ยงดูตัวเองและลูกสองคน ภาระทางการเงินที่ถาโถมเข้ามาทำให้ครอบครัวเผชิญกับความเครียด และส่งแรงกดดันต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองคนอย่างหนัก

“มันยากมากที่จะวางแผนอนาคตของคุณ เมื่อทุกวันนี้คุณแค่พยายามเอาตัวรอดให้ได้ในแต่ละวัน” แคทเธอรีนกล่าวกับรายการ Insight

“ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองล้าหลัง เหมือนเรากำลังถอยหลังไปเรื่อย ๆ”
ครอบครัวของแคทเธอรีนเคยอาศัยอยู่ในบ้านขนาดสี่ห้องนอน แต่เมื่อราคาค่าเช่าพุ่งสูงขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องย้ายมาอยู่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดสองห้องนอนแทน

“มันเล็กมาก ซึ่งทำให้เครียด และพูดตามตรง มันก็ทำให้รู้สึกอายด้วย” แคทเธอรีนกล่าว

ลูกชายของพวกเขาต้องนอนในห้องนั่งเล่น ส่วนแมวของครอบครัวถูกทำการุณยฆาต หลังจากพบว่าเป็นเบาหวานและต้องใช้ค่ารักษาราว 4,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย

ซึ่งพวกเขาไม่สามารถจ่ายได้ ขณะที่ลูกสาววัยรุ่นของทั้งคู่ก็เริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของครอบครัว

“เธอเป็นกังวลมาก มักจะถามว่า ‘เรามีเงินเหลือเท่าไหร่’ หรือ ‘ขอดูสเตทเมนต์บัญชีได้ไหม’” แคทเธอรีนเล่า

“แม้ว่าเราจะพยายามปกป้องไม่ให้เธอต้องรับรู้เรื่องพวกนี้ แต่เราก็ทำไม่ได้”
บ็อบกล่าวว่า เขารู้สึกละอายใจอย่างมากกับสถานการณ์ที่ครอบครัวกำลังเผชิญ

“ผมรู้สึกดีเสียด้วยซ้ำที่พ่อแม่ของผมไม่อยู่แล้ว เพราะพวกเขาคงเสียใจมากถ้าได้เห็นว่าตอนนี้ชีวิตของเรามันยากแค่ไหน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า

มองในแง่บวกและทางออกที่เป็นไปได้

เคต ไลเซ็ต จากมหาวิทยาลัยดีคินกล่าวว่า ยังมีหลายวิธีที่คนออสเตรเลียทั่วไปสามารถทำได้เพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดี แม้ว่าในความเป็นจริง วิธีง่าย ๆ เหล่านี้อาจดูห่างไกลสำหรับผู้ที่กำลังดิ้นรนอยู่กับค่าครองชีพ

“พยายามพึ่งพาความสัมพันธ์รอบตัวเมื่อทำได้ ออกกำลังกาย เข้าร่วมกิจกรรมในสังคม ดูแลเรื่องอาหารการกิน แต่ก็ยากจะบอกให้คนทำสิ่งเหล่านี้ได้จริง เมื่อพวกเขาไม่มีเวลาหรือไม่มีเงินพอจะทำได้” เธอกล่าว

“แม้แต่ละคนจะมีส่วนรับผิดชอบต่อสุขภาพของตัวเอง แต่เราก็ต้องการสภาพแวดล้อมทางนโยบายที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต เพื่อให้ผู้คนสามารถเติบโตและมีโอกาสเหล่านั้นได้จริง”

สำหรับลอร่า เธอรู้สึกขอบคุณที่ตอนนี้ลูกแฝดไม่ต้องเข้าเนิร์สเซอรี่อีกต่อไป และหวังว่าสถานการณ์ทางการเงินของครอบครัวจะดีขึ้นในไม่ช้า

“ทุกอย่างน่าจะเปลี่ยนไปเมื่อเราทั้งคู่สามารถกลับไปทำงานเต็มเวลาได้อีกครั้ง” เธอกล่าว

“เราโชคดีที่ลูก ๆ ได้เข้าเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กชุมชน ซึ่งค่าใช้จ่ายถูกกว่าศูนย์รับเลี้ยงเอกชนมาก”

สำหรับผู้ที่ต้องการขอความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิต สามารถติดต่อ Beyond Blue ได้ที่หมายเลข 1300 22 4636

Embrace Multicultural Mental Health ยังมีบริการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตสำหรับผู้ที่มาจากหลากภาษาและวัฒนธรรม โทรศัพท์หมายเลข 131 450

ฟังสรุปเรื่องนี้ได้ที่นี่:

ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram

Share
Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand