จากการวางแผน ดูเหมือนว่าเอมิลี เคลเมนต์ส จะทำทุกอย่างถูกต้องแล้ว
คุณแม่เลี้ยงเดี่ยววัย 32 ปีจากนครเพิร์ท ทำงานพาร์ทไทม์ด้านธุรการและเธอยังเลี้ยงดูลูกสองคนที่มีความต้องการพิเศษด้านพัฒนาการ
เธอวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ ใช้จ่ายเฉพาะสิ่งจำเป็น เช่นเดียวกับพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวหลายคนที่รับสวัสดิการทำงานมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่จะได้รับเงินสนับสนุนเงินดูแลลูกที่ป่วยแต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังไม่สามารถไล่ตามค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้นทัน
สี่ปีก่อน เคลเมนต์สจ่ายค่าเช่า 380 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ สำหรับบ้านเช่าแบบสามห้องนอน มาวันนี้ เธอต้องจ่ายถึง 850 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ สำหรับบ้านที่อยู่ไกลเมืองออกไปกว่าเดิม
“ฉันได้เงินจากเซนเตอร์ลิงก์ 1,600 ดอลลาร์ต่อสองสัปดาห์ แต่ต้องจ่ายค่าเช่า 1,700 ดอลลาร์ ซึ่งมากกว่ารายได้ทั้งหมด” เธอให้สัมภาษณ์กับเอสบีเอส นิวส์
“ฉันไม่มีเงินเก็บเลย แม้แต่ดอลลาร์เดียว”
เธอบอกว่า หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพ่อของเธอ เธอคงเป็นคนไร้บ้านและลูกทั้งสองคนก็คงไม่ได้รับการบำบัดที่จำเป็นต่อการพัฒนาของพวกเขา
“ฉันพยายามไม่คิดถึงมันเพราะยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว” เธอกล่าว
“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่ฉันดูแลลูก ๆ ของตัวเองไม่ได้”
“เราต้องลดจำนวนการบำบัดที่จำเป็นของลูก เราไม่ได้ไปเที่ยว แทบไม่ได้ไปไหนและไม่ค่อยกินข้าวนอกบ้านเลย

Credit: SBS
นับถอยหลังความมั่นคง
นี่อาจเป็นคริสต์มาสสุดท้ายที่เคลเมนต์สจะได้อยู่ในบ้านหลังนี้ เพราะสัญญาเช่าจะหมดอายุภายในไม่ถึงสามเดือน และมีความเสี่ยงที่จะถูกไล่ออกมากขึ้น เธอบอกว่า ตอนนี้หยุดไปดูบ้านเปิด (open house) แล้ว เพราะกังวลมาก
“ครั้งล่าสุดที่ฉันไปดูบ้าน มีคนมากกว่า 40 คนอยู่ที่นั่น” เธอกล่าว
“ฉันจำได้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งคุยกับเอเยนต์ แล้วเธอบอกว่าเธอมีเงิน 600,000 ดอลลาร์จากการขายบ้าน และยอมจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าทั้งปีได้ทันที และนั่นคือคู่แข่งที่ฉันต้องเจอ”
สถานการณ์ไม่ได้เป็นแบบนี้เสมอไป
เคลเมนต์สเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลางที่มั่นคง และตลอดช่วงวัยยี่สิบ การเช่าบ้านเป็นทางเลือกที่ช่วยให้เธอเก็บเงินสะสมเพื่อวางเงินดาวน์ซื้อบ้านในอนาคตได้
แต่ตลาดค่าเช่าในนครเพิร์ท ที่เคยเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่อยู่อาศัยราคาจับต้องได้ที่สุดของประเทศ ตอนนี้สถานการณ์กลับตรงข้าม แม้แต่คนที่เคยมีบ้านเป็นของตัวเองยังต้องกลับมาหาที่เช่าอยู่ใหม่ ส่งผลให้ผู้ที่มีตัวเลือกน้อยที่สุดถูกเบียดออกจากระบบมากขึ้นเรื่อย ๆ
วิกฤตที่ก่อตัวมานานหลายปี
ดัชนีความสามารถในการเช่าบ้านประจำปี 2025 ของ National Shelter–SGS (Rental Affordability Index: RAI) เป็นเครื่องยืนยันสิ่งที่ผู้เช่ารู้ดีอยู่แล้วว่าความสามารถในการเช่าบ้านทั่วประเทศกำลังย่ำแย่
นครเพิร์ทแซงซิดนีย์ขึ้นเป็นเมืองหลวงที่ “ค่าเช่าแพงที่สุดเมื่อเทียบกับรายได้” เป็นปีที่สองติดต่อกัน โดยค่าเช่ากลางในปัจจุบันกินสัดส่วนรายได้ของครัวเรือนผู้เช่าเฉลี่ยถึง 32%
ซึ่งสูงกว่าระดับ “ภาวะตึงเครียดด้านที่อยู่อาศัย” ที่กำหนดไว้ที่ 30% ซึ่งเมื่อปี 2020 ตัวเลขนี้อยู่ที่เพียง 21% และเมื่อสำรวจสถานการณ์บ้านเช่าทั่วประเทศ ภาพรวมก็ไม่ได้ดีไปกว่านี้มากนัก

Credit: SBS
เช่น ซิดนีย์และแอดิเลดก็มีสถานการณ์ไม่ต่างกันมากนัก โดยครัวเรือนผู้เช่าในทั้งสองเมืองต้องใช้รายได้ราว 30% ไปกับค่าเช่า ซึ่งอยู่ในระดับภาวะตึงเครียดด้านที่อยู่อาศัยเช่นกัน
ส่วนภูมิภาคของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียก็แย่ลงมาก จากที่ยังถือว่า “เช่าได้ในราคาเอื้อมถึง” เมื่อปี 2020 ตอนนี้กลายเป็นพื้นที่ที่ “เริ่มไม่เอื้อต่อการเช่า” โดยผู้เช่าต้องจ่ายถึง 28% ของรายได้ให้กับค่าเช่า
บริสเบนและแอดิเลดกำลังเผชิญระดับความสามารถในการเช่าบ้านที่ต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ ส่วน ACT เป็นเขตเดียวที่ยังถือว่า “อยู่ในระดับยอมรับได้” ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากรายได้เฉลี่ยของประชากรที่สูงกว่าเขตอื่น
ขณะเดียวกัน ในภูมิภาคควีนส์แลนด์ ค่าเช่ากินสัดส่วนรายได้ครัวเรือนมากกว่า 30% ทำให้กลายเป็นตลาดเช่าภูมิภาคที่แพงที่สุดในออสเตรเลีย
ส่วนนอร์เทิร์นเทร์ริทอรีไม่ถูกรวมอยู่ในรายงาน เนื่องจากไม่มีข้อมูลค่าเช่าที่เพียงพอสำหรับจัดทำดัชนี
คนรุ่นใหม่ถูกผลักให้เช่าบ้านตลอดชีวิต
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ชาวออสเตรเลียจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงและพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ถูกผลักเข้าสู่วงจรการเช่าบ้านระยะยาวโดยไม่มีทางเลือกอื่น
ระหว่างปี 1995 ถึง 2020 จำนวนครัวเรือนผู้เช่าเพิ่มขึ้นจาก 26% เป็น 31% ขณะที่สัดส่วนผู้เช่าในระบบที่อยู่อาศัยสาธารณะลดลงครึ่งหนึ่ง
ตลอดช่วงเวลาเดียวกัน ค่าเช่าเพิ่มขึ้นเร็วกว่าค่าผ่อนบ้าน
ปัจจุบัน ผู้เช่าต้องจ่ายอย่างน้อย 20% ของรายได้ไปกับที่อยู่อาศัย ขณะที่ผู้มีบ้านและผ่อนจ่ายอยู่ ใช้เพียง 15.5%
แต่ดัชนี RAI วัดเฉพาะ “ค่าเช่า” ไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำไฟ ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายในโรงเรียน
สำหรับครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวอย่างของเคลเมนต์ส ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้งบประมาณในชีวิตจริงพุ่งสูงกว่าตัวเลขที่แสดงบนกราฟอย่างมาก
เช่น การพาลูกไปทำบำบัดหรือซื้อของกิน จะเติมน้ำมันหรือส่งลูกไปทัศนศึกษา แทบไม่เคยถูกบันทึกไว้ในดัชนีระดับประเทศ แต่ทั้งหมดนี้คือความจริงที่เธอต้องเผชิญในทุกวัน
ชีวิตใหม่ในออสเตรเลียแต่ยังคงต้องเช่าบ้าน
อีกฟากหนึ่งของประเทศ ทางตอนใต้–ตะวันออกของซิดนีย์ ชาร์ลอต คาร์ลสสัน–โจนส์ ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในวัยผู้ใหญ่ท่ามกลางความไม่มั่นคงด้านที่อยู่อาศัย เธอเดินทางมาจากเมืองมัลเมอ ประเทศสวีเดน ตอนอายุ 19 ปี
ผ่านมาสองทศวรรษแล้ว บัณฑิตสถาปัตยกรรมวัย 42 ปียังคงต้องเช่าบ้านอยู่เหมือนเดิม
เธอทำงานพาร์ทไทม์ มีรายได้ประมาณ 2,000 ดอลลาร์ต่อสองสัปดาห์
แต่ค่าเช่าของเธออยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์ต่อสองสัปดาห์ คิดเป็น 60% ของรายได้ทั้งหมด
“สำหรับฉัน การจะขอสินเชื่อบ้านแทบเป็นไปไม่ได้เลย” คาร์ลสสัน–โจนส์บอกกับ เอสบีเอส นิวส์ โดยอธิบายว่า ธนาคารมองเธอว่าเป็นลูกค้าความเสี่ยงสูง
“ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยว มันแทบเป็นไปไม่ได้จริง ๆ ทุกปีมันยิ่งแย่ลง”
ลูกสองคนของเธออายุ 12 และ 7 ปี และเช่นเดียวกับเคลเมนต์ส เธอต้องรับผิดชอบค่าอาหาร ค่าเดินทาง กิจกรรมของลูก ค่าใช้จ่ายในโรงเรียน และค่าบำบัด นอกเหนือจากค่าเช่า
เธอพยายามขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล รวมถึงโครงการ Rent Choice Assist แต่คำขอครั้งแรก ๆ ของเธอถูกปฏิเสธ

Credit: SBS
แต่ในที่สุดเธอก็ยื่นอุทธรณ์และได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการ แต่แม้จะได้รับความช่วยเหลือแล้ว ความกังวลที่สะสมมาตลอดก็ยังคงอยู่
“ฉันรู้สึกเหมือนระบบช่วยเหลือหลายอย่างที่เรามีอยู่ตอนนี้ มันรอให้คุณไร้บ้านก่อน แล้วถึงจะเริ่มยื่นมือเข้ามาช่วย” เธอกล่าว
“แต่บาดแผลทางใจและผลกระทบระยะยาวจากการต้องเผชิญสถานการณ์แบบนั้ มันใช้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้นตัวได้”
คาร์ลสสัน–โจนส์กล่าวว่า ผู้หญิงสูงอายุเป็นกลุ่มเสี่ยงมากที่สุดมานานแล้ว
“เราต้องเริ่มแก้ปัญหานี้ให้เร็วขึ้นในช่วงชีวิตของผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราทุ่มเวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูแลคนที่เรารัก”
เธอบอกว่าวิกฤตนี้มีรากลึกกว่าที่เห็น
“ฉันเจอคนที่อยู่ในบ้านสวัสดิการมานานกว่า 10 ปี” เธอเล่า ตอนที่พวกเขายื่นขอครั้งแรก มีรายชื่อรอคิวขอความช่วยเหลือก็ยาวเกินสิบปีแล้ว
รัฐที่ร่ำรวยที่สุด แต่ค่าเช่าแพงที่สุด
โรเบิร์ต พราดอลิน ผู้อำนวยการ Housing All Australians องค์กรรณรงค์ด้านที่อยู่อาศัย กล่าวว่า ภาวะตึงเครียดจากค่าเช่ากำลังส่งผลต่อแรงงานในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียโดยตรง
“ตั้งแต่คาเฟ่ โรงแรม ไปจนถึงโรงพยาบาลและศูนย์ดูแลเด็ก ธุรกิจทั่วรัฐ WA กำลังประสบปัญหาขาดแคลนพนักงาน เพราะไม่มีที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาใกล้ที่ทำงานให้พวกเขาอยู่” เขากล่าว
“แม้แต่ภาคบริการสังคม คนที่ทำงานช่วยเหลือผู้เปราะบางที่สุด ยังรับพนักงานใหม่ไม่ได้หรือรักษาพนักงานไว้ไม่ได้ เพราะค่าครองชีพในชุมชนภูมิภาคสูงเกินกว่าที่พวกเขาจะอยู่ได้”
พราดอลินชี้ว่า ที่อยู่อาศัยคือ “โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญ”
อี–เทน กวี เจ้าของคาเฟ่ในเพิร์ธกล่าวว่าวิกฤตนี้กำลังเปลี่ยนวิธีที่ธุรกิจขนาดเล็กต้องดำเนินงาน
“โดยทั่วไป เราเห็นได้ชัดว่าค่าเช่าตอนนี้สูงมาก ๆ” เขาบอกกับเอสบีเอส นิวส์
“มันส่งผลแน่นอนโดยเฉพาะกับพนักงานของผม”

อี–เทน กวี เจ้าของร้าน Hear This Coffee House ในย่านตะวันออกเฉียงเหนือของนครเพิร์ท ผู้ซึ่งเห็นผลกระทบของค่าเช่าที่พุ่งสูงขึ้นกำลังเปลี่ยนชีวิตของพนักงานและลูกค้าของเขา Credit: Christopher Tan
“จากที่ได้ยินมา หลายคนต้องย้ายกลับไปอยู่กับพ่อแม่ หรือหาทางออกอื่น ๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย”
การเดินทางไกลกลายเป็นเรื่องปกติใหม่
“ในอุตสาหกรรมแบบผม งานเริ่มตอนหกโมง ถ้าคุณอยู่ไกลออกไปชั่วโมงหนึ่ง คุณต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่” กวีกล่าว
เขาบอกว่าปัญหาหลักคือ “จำนวนบ้านมีไม่พอสำหรับคนที่ต้องการอยู่ ในขณะที่บางคนมีบ้านหลายหลังมากเกินกว่าจะอยู่ได้จริง”
แคธ สนเนลล์ ซีอีโอของ Shelter WA องค์กรสนับสนุนสิทธิด้านที่อยู่อาศัยในเพิร์ธ กล่าวว่า ตัวเลขล่าสุดยืนยันแนวโน้มที่เลวร้ายลงเรื่อย ๆ
“มันน่าตกใจมากที่รัฐที่ร่ำรวยที่สุดของออสเตรเลีย กลับเป็นรัฐที่ค่าเช่าที่คนเอื้อมถึงได้น้อยที่สุด” เธอกล่าวเอสบีเอส นิวส์
อ่านเพิ่มเติม

สาเหตุที่แท้จริงของวิกฤตค่าเช่าในออสเตรเลีย
“วิกฤตนี้ไม่ได้กระทบเฉพาะคนที่มีรายได้น้อยอีกต่อไปแล้ว มันลุกลามขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มส่งผลถึงครอบครัวที่มีรายได้ประจำ” สนเนลล์กล่าว
เธอระบุว่า รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียจำเป็นต้องมีที่อยู่อาศัยสังคมและที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาเพิ่มอีกปีละ 5,000 ยูนิต ควบคู่กับมาตรการอื่น เช่น การควบคุมอัตราค่าเช่า การกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ การจำกัดจำนวนบ้านปล่อยเช่าระยะสั้น และการยุติการไล่ผู้เช่าออกโดยไม่มีเหตุผล (no-grounds evictions)
“มีความคืบหน้าจากโครงการของรัฐบาลอยู่บ้าง แต่เราต้องการความมุ่งมั่นที่สอดคล้องกับขนาดของวิกฤตนี้จริง ๆ”
จอห์น แครี รัฐมนตรีด้านที่อยู่อาศัยและการโยธาของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย (WA) ชี้แจงต่อเอสบีเอส นิวส์ ว่ารัฐบาลมีการลงทุนในที่อยู่อาศัยสาธารณะระดับประวัติการณ์
“ทั่วประเทศยังคงมีแรงกดดันด้านที่อยู่อาศัยและตลาดเช่า และเศรษฐกิจของ WA ที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศร่วมกับการเติบโตของประชากรที่รวดเร็ว ก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันเข้าไปอีก” เขากล่าว
“รัฐบาลของเรากำลังเดินหน้าแผนการลงทุนด้านที่อยู่อาศัยมูลค่า 5.8 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มที่อยู่อาศัยสังคมกว่า 3,800 ยูนิต ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา
การลงทุนครั้งใหญ่ในที่อยู่อาศัยสาธารณะครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ชาว WA ที่เปราะบางที่สุด รวมถึงผู้ประสบความรุนแรงในครอบครัว แม่เลี้ยงเดี่ยว และคนพิการ มีบ้านที่สามารถเรียกว่า ‘บ้าน’ ได้จริง ๆ”
เมื่อปีที่แล้ว รัฐบาล WA ออกกฎหมายปฏิรูปตลาดเช่า อาทิ การจำกัดการขึ้นค่าเช่าได้เพียงปีละครั้ง การอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์และปรับปรุงเล็กน้อยในบ้านเช่าได้ รวมถึงกระบวนการแก้ไขข้อพิพาทที่ไม่ต้องพึ่งศาล
แม้ผู้เชี่ยวชาญจะยินดีต่อมาตรการใหม่ แต่เตือนว่ายังไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ได้จนกว่าจะมีการ จำกัดการขึ้นค่าเช่า และ ยุติการไล่ผู้เช่าออกโดยไม่มีเหตุผล
อ่านเพิ่มเติม

'ไร้บ้านทั้งๆ ที่มีงานทำ' วิกฤตบ้านเช่าในออสเตรเลีย
แครีกล่าวว่า โครงการช่วยเหลือค่าเช่า (Rental Relief Program) ของรัฐช่วยให้ครัวเรือนกว่า 3,600 ครัวเรือน รอดพ้นจากการถูกไล่ออก และข้อเสนอสำหรับเฟสที่สองของการปฏิรูปตลาดเช่า คาดว่าจะแล้วเสร็จเพื่อพิจารณาในปลายปีนี้
“รัฐบาลของเราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ชาว WA มีบ้านที่ปลอดภัย มั่นคง และเข้าถึงบริการจำเป็นที่ช่วยรองรับความต้องการของพวกเขาได้”
ด้านจอช เบิร์นส์ ผู้แทนพิเศษด้านที่อยู่อาศัยสังคมและคนไร้บ้านของรัฐบาลกลาง กล่าวว่า วิกฤตที่อยู่อาศัยของออสเตรเลีย “สะสมมาตลอดหลายทศวรรษ” และต้องใช้เวลาในการแก้ไข
“ตามที่ดัชนีความสามารถในการเช่าบ้านชี้ให้เห็น งานที่เรากำลังทำเพื่อเพิ่มจำนวนที่อยู่อาศัยในทุกระดับกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลง” เขากล่าว
“นั่นคือเหตุผลที่เราร่วมมือกับรัฐบาลรัฐและดินแดนต่าง ๆ และภาคที่อยู่อาศัยชุมชน เพื่อสร้าง 55,000 ยูนิต ของที่อยู่อาศัยสังคมและที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาสำหรับผู้ที่ต้องการ”
“เรารู้ว่ายังมีงานอีกมากที่ต้องทำ แต่เรากำลังก้าวต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านเช่ามากขึ้น การสนับสนุนผู้ซื้อบ้านครั้งแรก และการเพิ่มที่อยู่อาศัยสังคมและที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาให้เพียงพอกับความต้องการ”
“ฉันแค่อยากให้พวกเขามีอนาคต”
เคลเมนต์สบอกว่า เธอไม่ได้ต้องการปาฏิหาริย์ แค่โอกาสในการสร้างชีวิตที่พอมีเหลือเก็บ วางแผนอนาคตได้ และไม่ต้องอยู่ในสภาพที่ความมั่นคงสามารถพังทลายได้จาก “จดหมายแจ้งเตือน” เพียงฉบับเดียว
“ถ้าลูก ๆ มาขออะไรจากฉัน ส่วนใหญ่คำตอบคือ ‘ไม่ได้’ ทันที” เธอกล่าว
“หรือไม่ก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงจะเก็บเงินพอ”
“ฉันไม่อยากโกหกลูก ๆ ของฉันเลย” เธอกล่าว
“มันเป็นคำถามที่ตอบยากมากว่าทำไมพวกเขาถึงขอเงิน 10 ดอลลาร์ไปซื้อของใน Roblox ไม่ได้ หรือทำไมถึงซื้อไอศกรีมในวันที่อากาศร้อนไม่ได้”
ที่ซิดนีย์ คาร์ลสสัน–โจนส์ก็รู้สึกถึงภาระที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
เธอบอกว่า ในฐานะผู้อพยพรุ่นแรก พ่อแม่ของเธอไม่ได้อยู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และมันทำให้เธอ “เริ่มต้นจากจุดที่เสียเปรียบมาก”
“และนั่นจะส่งผลต่ออนาคตของลูก ๆ ของฉัน รวมถึงโอกาสที่พวกเขาจะได้ก้าวเข้าสู่ตลาดอสังหาฯ ด้วยเช่นกัน”







