Thai Voice: ผู้เชี่ยวชาญคนไทยแนะสัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพจิตวัยรุ่นในออสเตรเลีย และช่องทางขอความช่วยเหลือ

youth mental health  header  of ALC Header Cutout.jpg

จากข้อมูลการสำรวจระดับประเทศ พบว่าอัตราปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชน ในช่วงปี 2017–22 เพิ่มขึ้นถึงราว 40 เปอร์เซ็นต์ Credit: mohamad azaam/unsplash/Rachanee Naksuk

ปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มวัยรุ่นในออสเตรเลียเป็นปัญหาที่พบมากขึ้นเกือบเท่าตัว ผู้เชี่ยวชาญคนไทยในเมลเบิร์นแนะนำสัญญาณเตือนที่พ่อแม่ควรจับตา พร้อมแนะแนวทางเข้าถึงบริการสุขภาพจิตและสายด่วนช่วยเหลือที่มีล่ามภาษาไทยรองรับ


ปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มเยาวชนกำลังถูกพูดถึงมากขึ้นในออสเตรเลีย จากข้อมูลการสำรวจระดับประเทศ พบว่าอัตราปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนเพิ่มจากราว 14% ในช่วงปี 2013–14 เป็นประมาณ 27% ในช่วงปี 2017–22 และโดยภาพรวมถือว่าเพิ่มขึ้นถึงราว 40 เปอร์เซ็นต์

ตัวเลขดังกล่าวนี้สอดคล้องกับสิ่งที่ รัชนี นาคสุข พยาบาลวิชาชีพผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต (Credential Mental Health Nurse) ในนครเมลเบิร์น พบในงานด่านหน้าของเธอ เธอบอกเล่าสถานการณ์นี้กับเอสบีเอสไทยว่า

“ในกลุ่มเยาวชน โรคที่เราเห็นบ่อยที่สุดคือโรควิตกกังวล รองลงมาจะเป็นสมาธิสั้น หรือ ADHD และภาวะซึมเศร้ารุนแรง” เธออธิบาย

กลุ่มเยาวชนไทยในออสเตรเลีย

ในบริบทของเยาวชนไทยในออสเตรเลียจะประกอบไปด้วย ลูกหลานครอบครัวไทยที่ย้ายมาอยู่ออสเตรเลียถาวรและนักเรียนไทยที่มาเรียนต่อในฐานะนักเรียนต่างชาติ ทั้งสองกลุ่มเผชิญโรคหลัก ๆ คล้ายกันคือวิตกกังวลและซึมเศร้า แต่ที่ต่างกันคือบริบทและแรงกดดันรอบตัว

สำหรับลูกหลานครอบครัวผู้ย้ายถิ่นมีปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อสุขภาพจิต คือ ภาษาและการใช้ชีวิตในระบบการศึกษาที่ต่างจากเมืองไทย การปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมและสังคมใหม่ การถูกมองว่าเป็นคนมาจากที่อื่น หรือประสบการณ์การถูกเหยียดเชื้อชาติ

ส่วนนักเรียนต่างชาติ จะมีน้ำหนักของปัจจัยอื่นเพิ่มเข้ามา เช่น ความกดดันเรื่องการเรียนและเวลา การทำงานพิเศษควบคู่กับการเรียน ความโดดเดี่ยว ห่างจากพ่อแม่และครอบครัว ความกังวลเรื่องวีซ่าและสถานะการอยู่ในประเทศ ปัญหาเรื่องการเงินและค่าครองชีพ ที่อาจทำให้มีปัญหาเพิ่มเติมอย่างเช่นการติดการพนันและการทำร้ายตัวเอง

ส่วนโซเชียลมีเดียก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลทั้งบวกและลบ รัชนีชี้ว่า

“ด้านหนึ่งมันช่วยให้เด็กไม่รู้สึกโดดเดี่ยว มีสังคมของตัวเอง แต่อีกด้านหนึ่งมันสร้างแรงกดดัน การเปรียบเทียบ และการถูกบูลลี่ได้ง่าย” รัชนีกล่าว
Rachanee.jpeg
รัชนี นาคสุข พยาบาลวิชาชีพผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต (Credential Mental Health Nurse) ในนครเมลเบิร์น Credit: Supplied/Rachanee Naksuk

สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

รัชนีบอกว่า สิ่งแรกที่คนรอบตัวมักสังเกตเห็นได้คือ การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมและอารมณ์ โดยสัญญาณเตือนที่พบบ่อย ได้แก่ แยกตัว เก็บตัว ไม่ติดต่อเพื่อนหรือครอบครัวเหมือนเดิม ไม่สนใจทำสิ่งที่เคยชอบ ไม่หัวเราะ ไม่อยากออกไปไหน เหนื่อย เพลียผิดปกติ ไม่อยากทำอะไรเลยเป็นเวลานาน

มีพฤติกรรมการกินและการนอนเปลี่ยนไป นอนมากเกินไปหรือน้อยเกินไป กินมากไปหรือน้อยไป น้ำหนักลดเร็ว หรือพยายามอดอาหาร อารมณ์เปลี่ยนไปเป็นคนหงุดหงิดง่าย ขี้โกรธ หรือมองโลกในแง่ลบทุกเรื่อง

ในด้านการเรียน อาจไม่อยากไปโรงเรียน การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ หรือผลการเรียนตกลงอย่างชัดเจน รวมถึงปัญหาสมาธิและการโฟกัสงานไม่ได้

หากอาการลุกลามไปสู่พฤติกรรมเสี่ยง เช่น สนใจดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ไฟฟ้า ลองยาเสพติด หรือใช้ชีวิตแบบ “ไม่ห่วงตัวเอง ไม่ห่วงอนาคต” รัชนีมองว่านั่นเป็นสัญญาณที่ควรรีบขอความช่วยเหลือโดยเร็ว

“ถ้ามีความคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย ไม่ว่าจะเป็นแค่แวบเดียวว่า ‘ความตายน่าสนใจ’ หรือ ‘โลกไม่น่าอยู่แล้ว’ ตรงนี้ถือเป็นสัญญาณเตือนสำคัญ ควรพูดกับใครสักคนทันทีค่ะ”

จะเริ่มขอความช่วยเหลือจากไหน?

รัชนีแนะนำว่า ขั้นตอนแรกไม่จำเป็นต้องเริ่มที่ระบบบริการสุขภาพทันที แต่อาจเริ่มจาก คนที่ไว้ใจได้

“เริ่มจากคุยกับใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พ่อแม่ หรือคนใกล้ตัวก็ได้” เธอกล่าว “ถ้ารู้สึกว่าไม่มีใครคุยด้วยจริง ๆ คนแรกที่ควรนึกถึงคือแพทย์ประจำครอบครัว หรือ แพทย์จีพี (GP)”

แพทย์จีพีสามารถประเมินอาการเบื้องต้น และหากจำเป็นจะจัดทำ Mental Health Care Plan เพื่อส่งต่อให้ผู้รับบริการได้พบกับนักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต โดยปกติจะครอบคลุมอย่างน้อย 6 ครั้งภายใต้ Medicare

สำหรับกรณีที่อาการรุนแรงขึ้น GP สามารถส่งต่อเข้าสู่หน่วยงานของรัฐ เช่น Headspace หรือแผนกสุขภาพจิตของโรงพยาบาล ซึ่งไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ที่อยู่ในระบบ Medicare

รัชนีให้ข้อมูลว่า นอกจากนี้ ยังมีสายด่วนที่ทุกคนสามารถโทรได้ โดยสามารถขอล่ามภาษาไทยได้ เช่น
  •  Lifeline – 13 11 14
  • Beyond Blue – 1300 22 4636
  • Suicide Callback Service – 1300 659 467
  • SANE Line – 1300 651 251
  • Headspace – 1800 650 890

ค่าใช้จ่ายและการสนับสนุนทางการเงิน

ในบริบทของออสเตรเลีย เยาวชนส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของ Medicare ไม่ว่าจะผ่านสิทธิของพ่อแม่หรือสิทธิของตนเองเมื่ออายุถึงเกณฑ์ การเข้าพบแพทย์จีพี และการรับ Mental Health Care Plan จึงมักไม่มีค่าใช้จ่ายโดยตรง หรือมีในระดับที่จัดการได้

หากถูกส่งต่อไปยังบริการของภาครัฐ เช่น Headspace หรือโรงพยาบาลรัฐ มักไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม หากเลือกพบผู้ให้บริการเอกชนหรือใช้ประกันสุขภาพเอกชน (private health insurance) อาจยังมีค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ต้องจ่ายเอง

รัชนีมองว่า ประเด็นค่าใช้จ่ายเป็นเรื่องจริงที่หลายครอบครัวกังวล แต่การเริ่มต้นดูแลสุขภาพจิตตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดทั้งความรุนแรงของปัญหาและค่าใช้จ่ายในระยะยาว

“ถ้ารอจนปัญหาหนักมาก ทั้งอารมณ์และการใช้ชีวิตจะเสียหายมากกว่าการเข้ามาคุยตั้งแต่แรก ๆ และค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้นด้วย”

ในช่วงที่ปัญหาสุขภาพจิตในเยาวชนถูกพูดถึงมากขึ้น รัชนีฝากถึงทั้งเยาวชนและผู้ปกครองว่า สิ่งสำคัญคือ ไม่มองความทุกข์ทางใจเป็นเรื่องเล็กน้อย

“สุขภาพจิตไม่ใช่เรื่องฟุ้งซ่านหรือคิดมากเกินไป มันคือสุขภาพส่วนหนึ่งของเราเหมือนกับสุขภาพกาย ยิ่งรู้ตัวเร็ว ยิ่งช่วยได้เร็ว และไม่มีใครควรต้องเผชิญเรื่องนี้คนเดียวค่ะ”

ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram

Share
Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand