ผู้ซื้อบ้านหลังแรกทุกคนในออสเตรเลียจะสามารถก้าวสู่การเป็นเจ้าของบ้านด้วยเงินดาวน์ที่น้อยลงได้เร็วขึ้น หลังจากรัฐบาลกลางประกาศการเริ่มใช้นโยบายนี้เร็วกว่ากำหนด
การขยายโครงการ First Homebuyer Guarantee ของรัฐบาล จะเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อบ้านหลังแรกทุกคนสามารถวางเงินดาวน์ได้เพียง 5%
โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ เร็วกว่ากำหนดเดิมสามเดือน ซึ่งเดิมทีจะเริ่มในเดือนมกราคม 2026
นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบานีซี ระบุว่า การเลื่อนกำหนดเริ่มโครงการให้เร็วขึ้น จะช่วยลดอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์
“เราต้องการช่วยให้คนหนุ่มสาวและผู้ซื้อบ้านหลังแรก สามารถบรรลุความฝันในการมีบ้านได้เร็วขึ้น” เขากล่าวในแถลงการณ์
“การเร่งให้โครงการบ้านเงินดาวน์ 5% เริ่มเร็วขึ้นจะช่วยให้ชาวออสเตรเลียมีบ้านเป็นของตัวเองได้เร็วขึ้น และยังช่วยประหยัดเงินไปพร้อมกันด้วย”
อ่านเพิ่มเติม

ข้อควรรู้เมื่อซื้อบ้านหลังแรก
โครงการบ้านสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกคืออะไร?
โครงการนี้เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อบ้านหลังแรกสามารถซื้อบ้านได้ด้วยเงินดาวน์เพียง 5% จากปกติที่ต้องวางถึง 20%
รัฐบาลจะทำหน้าที่เป็นผู้ค้ำประกัน โดยช่วยออกเงินส่วนที่เหลืออีก 15% ของเงินดาวน์ ทำให้ผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องทำประกันเงินกู้ที่อยู่อาศัย (Lenders’ Mortgage Insurance) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง
มีอะไรเปลี่ยนแปลงในโครงการบ้าง?
แม้ว่าโครงการนี้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไป จะมีการขยายสิทธิ์ให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรกทุกคน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมในแต่ละปี นอกจากนี้ จะ ไม่มีการกำหนดเพดานรายได้ สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการอีกต่อไป
ขณะเดียวกัน เพดานราคาบ้าน ที่เข้าเกณฑ์โครงการก็จะถูกปรับเพิ่มขึ้นเกือบทุกพื้นที่ทั่วออสเตรเลีย เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เช่นกัน

Housing Minister Clare O'Neil said the scheme would make access to home ownership fairer. Source: AAP / Mick Tsikas
เพดานราคาบ้านในเมืองใหญ่ล่าสุด
ในซิดนีย์ เพดานราคาบ้านที่จะเข้าเกณฑ์โครงการจะเพิ่มจาก 900,000 ดอลลาร์ เป็น 1.5 ล้านดอลลาร์ บริสเบน จะเพิ่มจาก 700,000 ดอลลาร์ เป็น 1 ล้านดอลลาร์ และในเมลเบิร์น จะเพิ่มจาก 800,000 ดอลลาร์ เป็น 950,000 ดอลลาร์
คาดการณ์ว่า จะมีผู้เข้าร่วมโครงการ Home Guarantee Scheme ราว 70,000 คนในปีแรกที่มีการขยายสิทธิ์ มากกว่าที่กำหนดไว้เดิมปีละ 50,000 คนถึง 20,000 คน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่อยู่อาศัย แคลร์ โอนีล กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยให้การเข้าถึงการมีบ้านเป็นธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการก้าวเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์
“มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ในออสเตรเลียถูกกีดกันออกจากตลาดบ้าน พวกเขาต้องเก็บเงินเป็นสิบ ๆ ปี ขณะที่ยังต้องจ่ายค่าเช่าหรือผ่อนบ้านให้คนอื่น” เธอกล่าว
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางออสเตรเลียส่งผลให้ราคาบ้านพุ่งสูงขึ้น และอาจทำให้บ้านทั่วประเทศมีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปอีก เชน โอลิเวอร์ กล่าวเสริมว่า
“ถ้าอัตราดอกเบี้ยลดลงพร้อมกับการเริ่มใช้โครงการขยายสิทธิ์นี้ จะเป็นการเร่งให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์พุ่งแรงกว่าที่จะเกิดขึ้นตามปกติ”
เขาชี้ว่า นี่อาจเป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่มีบ้านอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ข่าวดีนักสำหรับผู้ซื้อบ้านรายใหม่
“ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับเจ้าของบ้านปัจจุบัน แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้ซื้อบ้านหน้าใหม่”
ภาคธุรกิจก่อสร้างและอสังหาฯ หนุนโครงการ
สมาคมอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยแห่งออสเตรเลีย (HIA) ซึ่งเป็นสมาคมระดับชาติด้านการก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แสดงความยินดีกับการขยายโครงการนี้ โจซลิน มาร์ติน กรรมการผู้จัดการของ HIA กล่าวว่า
“นี่คือโอกาสที่จะเปิดประตูให้ผู้คนจำนวนมากขึ้น และถือเป็นแรงหนุนสำคัญสำหรับผู้ที่มีความฝันอยากมีบ้านในออสเตรเลีย”
“มันจะทำให้การมีบ้านเป็นของตัวเองเข้าถึงได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่ก่อนหน้านี้ถูกกันออกจากตลาด”
ด้านสภาอสังหาริมทรัพย์แห่งออสเตรเลีย (Property Council of Australia) ระบุว่า การเร่งให้โครงการเริ่มเร็วขึ้น จะช่วยให้ผู้ซื้อบ้านหลังแรกสามารถก้าวข้ามช่องว่างด้านเงินดาวน์ และเข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น
อ่านเพิ่มเติม

บ้านในออสฯ: เนื้อที่เล็กลง แต่ราคาสูงขึ้น
ไมค์ ซอร์บาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสภาอสังหาริมทรัพย์แห่งออสเตรเลีย กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า การออกแบบโครงการนี้จำเป็นต้องมีการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่กลางปี 2026 เป็นต้นไป
“เพื่อให้มั่นใจว่าตลาดที่อยู่อาศัยหลัก ๆ จะไม่ร้อนแรงเกินไป” เขากล่าว
โดยผลักดันให้มีที่อยู่อาศัยสังคม (social housing) เพิ่มขึ้น ระบุว่า โครงการนี้เป็น “เรื่องดีสำหรับบางคน” แต่ “ไม่ใช่คำตอบของวิกฤตค่าบ้านที่ทุกคนเผชิญอยู่”
ไมอี อาซิซ โฆษกของแคมเปญกล่าวว่า
“ทางออกที่แท้จริงของวิกฤตที่อยู่อาศัยในออสเตรเลีย คือการทำให้ค่าบ้านถูกลงสำหรับทุกคน ผ่านมาตรการอย่างการปฏิรูประบบภาษี และการเพิ่มบ้านในโครงการที่อยู่อาศัยสังคม”
“ปัญหาสำคัญคือชาวออสเตรเลียจำนวนมากยังถูกกันออกจากการเป็นเจ้าของบ้าน เพราะติดอยู่ในตลาดเช่าที่ทำให้การเก็บเงินซื้อบ้านเป็นเรื่องยากมาก”
“การแก้วิกฤตที่อยู่อาศัย รัฐบาลกลางต้องลงทุนครั้งใหญ่ใน โครงการบ้านสังคม (social housing) ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยเช่าราคาถูกที่รับประกันได้ว่าจะคงความสามารถในการเข้าถึงได้
ออสเตรเลียกำลังเผชิญภาวะขาดแคลนบ้านสังคมถึง 640,000 หลัง และช่องว่างนี้กำลังขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ” แถลงการณ์ระบุ
ด้านแอนดรูว์ แบร็ก โฆษกฝ่ายค้านด้านที่อยู่อาศัย วิจารณ์ว่า โครงการนี้เปิดกว้างเกินไป เพราะไม่มีการทดสอบรายได้ของผู้เข้าร่วม
เขากล่าวในรายการวิทยุ ABC เมื่อเช้าวันจันทร์ว่า
“นี่คือโครงการที่ไม่จำกัด และแม้แต่มหาเศรษฐี หรือบุตรหลานมหาเศรษฐี ก็สามารถใช้ประโยชน์จากโครงการรัฐบาลนี้ได้”
พร้อมเตือนว่าเป็นการทำให้ผู้เสียภาษี “ต้องค้ำประกันโครงการประกันสินเชื่อบ้านให้กับผู้ที่ร่ำรวยอย่างมหาศาล”
เสียงตอบรับจากชุมชนไทยต่อโครงการนี้
หลังจากรัฐบาลกลางออสเตรเลียประกาศโครงการบ้านเงินดาวน์ 5% ที่จะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้ เสียงตอบรับจากผู้ซื้อบ้าน โดยเฉพาะชาวไทยในออสเตรเลีย มีทั้งความหวังและความกังวลผสมกัน
พิชญา (มาย) โสวาที ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ในเมลเบิร์น เปิดเผยกับ เอสบีเอส ไทย ว่า ความสนใจในตลาดจากลูกค้าคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนหลังโครงการนี้ถูกประกาศ
เนื่องจากรัฐบาลยกเลิกเงื่อนไขรายได้ ทำให้ผู้ซื้อทุกระดับสามารถใช้สิทธิ์ได้ “ลูกค้ากลุ่ม First Home Buyer สนใจมากขึ้น เพราะไม่ต้องเก็บเงินนานเหมือนเมื่อก่อน แต่ในขณะเดียวกัน ลูกค้ารายได้สูงก็มีสิทธิ์เข้าร่วมด้วย ทำให้ฐานผู้เข้าร่วมกว้างกว่าเดิม”

พิชญา (มาย) โสวาที Senior Property Consultant คนไทยในออสเตรเลีย Credit: Supplied/Pitchaya Sowatee
หลายคนยังไม่มั่นใจในกระบวนการ และกังวลว่าธนาคารจะปล่อยกู้หรือไม่ รวมถึงรายได้จะพอสำหรับการผ่อนระยะยาวหรือเปล่าพิชญา อธิบาย
เธอมองว่า ข้อดีของโครงการนี้คือการช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น “ปกติแล้วการเก็บเงินดาวน์ 10–20% ใช้เวลานานมาก บางคนอาจต้องเก็บถึง 10 ปี แต่การเริ่มได้เร็วขึ้นทำให้ไม่ต้องวิ่งตามราคาบ้านที่ขึ้นต่อเนื่อง”
อย่างไรก็ตาม พิชญายอมรับว่าเมื่อความต้องการเพิ่มขึ้น ราคาบ้านย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย “ราคาบ้านเริ่มขยับขึ้นตั้งแต่หลังวันที่ 1 ตุลาคมแล้ว และแนวโน้มคือจะขึ้นต่อไป ยิ่งเข้าสู่ตลาดได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งได้เปรียบ”
เมื่อถามถึงแนวโน้มในเมืองใหญ่ มายบอกว่า
“ทิศทางจะคล้ายกันทั่วประเทศ แต่เมลเบิร์นจะน่าสนใจกว่า เพราะราคายังเข้าถึงได้มากกว่าซิดนีย์หรือบริสเบน นักลงทุนและผู้ซื้อบ้านหลังแรกจากรัฐอื่นก็เริ่มมองมาที่เมลเบิร์นมากขึ้น”
พิชญายังชี้ว่า คนไทยรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงาน ย้ายมาได้ PR และตั้งใจจะซื้อบ้านหลังแรกจะได้ประโยชน์มากจากมาตรการเสริมของรัฐ
- ยกเว้นอากรแสตมป์ (Stamp Duty Exemption): หากซื้อบ้านหลังแรกที่ราคาไม่เกิน 600,000 ดอลลาร์ จะได้รับการยกเว้นอากรแสตมป์
- เงินช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรก (First Home Owner Grant): หากซื้อบ้านใหม่ จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล 10,000 ดอลลาร์
“โครงการเงินดาวน์ 5% ถือเป็นโอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนไทยในออสเตรเลียที่อยากเริ่มต้นมีบ้าน แต่ต้องตัดสินใจเร็ว เพราะเมื่อหลายคนเข้าตลาดพร้อมกัน ราคาบ้านก็จะยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ” เธอกล่าวทิ้งท้าย
ประสบการณ์ตรงของ First Home Buyer
วุฒิ คนไทยในเมลเบิร์นเล่าประสบการณ์การซื้อบ้านหลังแรกว่า เขาและภัทร์วดีสามารถซื้อบ้านได้ด้วยเงินดาวน์เพียง 5% โดยใช้เวลาประมาณหนึ่งปีในการเก็บเงิน ก่อนจะตัดสินใจยื่นขอสินเชื่อกับธนาคาร
“ผมกับแฟนทำงานประจำทั้งคู่ เลยทำให้การขอสินเชื่อจากธนาคารค่อนข้างง่ายกว่า เพราะถ้าเป็นคนที่เก็บเงินสดหรือทำธุรกิจ ABN ธนาคารจะมีเงื่อนไขเข้มงวดกว่ามาก” วุฒิเล่า พร้อมบอกว่าบ้านที่ซื้อมีราคาประมาณ 650,000 – 700,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย

วุฒิ ลอยลิ่วและภัทร์วดี ภิชัย สมาชิกชุมชนไทยในเมลเบิร์นที่เพิ่งซื้อบ้านและใช้สิทธิประโยชน์จากโครงการลดดอกเบี้ย 5% Credit: Supplied/Wut Loyliw/Patwadee Phichai
“ถ้ามีโครงการนี้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ก็น่าจะช่วยให้หลายคนตัดสินใจง่ายขึ้น”
สิ่งหนึ่งที่วุฒิย้ำคือ การยกเว้น Stamp Duty หรืออากรแสตมป์ที่รัฐบาลให้การสนับสนุน “มันเป็นตัวช่วยสำคัญมาก เพราะถ้าต้องจ่ายเต็ม ๆ จะเป็นเงินก้อนใหญ่ที่หลายคนไม่ไหว”
แม้ต้องแบกรับหนี้ถึง 95% ของมูลค่าบ้าน แต่วุฒิบอกว่าเขาไม่กังวลมากนัก หากรายได้และค่าผ่อนชำระสอดคล้องกัน “มันอยู่ที่การวางแผนการเงินมากกว่า ถ้าเรารู้ว่าผ่อนเดือนละเท่าไรแล้วไม่เกินกำลัง มันก็ไม่ใช่ปัญหา”
แม้จะมีโครงการช่วยเหลือด้านเงินดาวน์ แต่วุฒิยอมรับว่า การหาบ้านที่เหมาะสมกับรายได้และความต้องการยังเป็นเรื่องยาก เขาใช้เวลานานถึง 7–8 เดือน กว่าจะเจอบ้านที่ถูกใจ ทั้งในแง่ราคา ทำเล และแบบบ้าน
การเลือกบ้านขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ถ้าไม่มีแฟน อาจจะเลือกคอนโดใกล้เมืองแทน เพราะหาง่ายกว่า ตัวเลือกเยอะกว่าวุฒิ กล่าว
ปลา (นามแฝง) พนักงานดูแลผู้สูงอายุในนครเมลเบิร์น บอกกับเอสบีเอสไทยว่า เธอรู้สึกมีความหวังมากขึ้นที่จะช่วยลูกสาวซื้อบ้านหลังแรก แม้ตัวเองอาจสายเกินไปแล้วสำหรับการเก็บเงินซื้อบ้านเป็นของตัวเอง
“ลูกสาวอยากออกไปอยู่เอง ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้องเก็บเงินนาน แถมยังต้องจ่ายค่าเช่าไปด้วย มันหลายอย่างมาก แต่พอโครงการของรัฐบาลให้วางเงินดาวน์น้อยลง มันก็ทำให้เราอยากช่วยเขาอีกแรงหนึ่ง”
เธอยอมรับว่าโอกาสในการมีบ้านของตัวเองแทบไม่มีแล้ว แต่กลับมองว่าการช่วยลูกสาวคือสิ่งสำคัญที่สุด
เพราะเราไม่มีหวังจะมีบ้านเอง มันเหมือนคนไม่มีอนาคต ก็เลยอยากช่วยให้เขามีบ้าน เป็นหลักประกันในชีวิตปลา (นามแฝง) คนไทยในออสเตรเลีย
ความคิดเห็นจากนักวิชาการเศรษฐศาสตร์คนไทยในออสเตรเลีย
ดร.วันนิวัต ปันสุวงค์ จาก UniSA Business มหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลีย (University of South Australia) พูดคุยกับเอสบีเอสไทยเกี่ยวกับนโยบายนี้ว่า นโยบายนี้ถูกออกมาเพื่อบรรเทาความกดดันด้านค่าครองชีพ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านสูงขึ้นเรื่อย ๆ
“นโยบายนี้จะเปิดโอกาสให้คนหนุ่มสาวหรือคนที่มีรายได้น้อยเข้ามาในตลาดบ้านได้เร็วขึ้น แทนที่จะต้องเก็บเงินดาวน์นาน 10 ปี”
การเข้าสู่ตลาดเร็วขึ้น หมายถึงผู้ซื้อไม่ต้องวิ่งตามราคาบ้านที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และสามารถเปลี่ยนเงินค่าเช่ามาเป็นค่าผ่อนบ้านแทน
ข้อกังวลต่อหนี้ครัวเรือน
หนึ่งในคำถามที่สังคมกังวลคือ การกู้ 95% จะทำให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงจนเป็นความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจหรือไม่ ดร.วันนิวัตมองว่า ความเสี่ยงอาจไม่สูงอย่างที่กังวล
“ธนาคารยังคงปล่อยกู้เฉพาะผู้ที่มีศักยภาพทางการเงิน ดังนั้นหนี้ครัวเรือนจากโครงการนี้อาจไม่กดดันเศรษฐกิจโดยรวมมากนัก”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการแข่งขันในตลาดจะเพิ่มขึ้น ซึ่งนำไปสู่แรงกดดันด้านราคา

ดร. วันนิวัต ปันสุวงค์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และอาจารย์ประจำ UniSA Business มหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลีย Credit: Supplied/Wanniwat Punsuwong
“แม้รัฐบาลจะยกเลิกโควตาและเปิดให้ทุกคนใช้สิทธิ์ได้ แต่ช่องโหว่คือ คนที่มีฐานะดีและไม่ได้ถือครองบ้านใน 10 ปีก็ยังสามารถเข้ามาใช้สิทธิ์ได้อยู่ดี นี่อาจทำให้ความเหลื่อมล้ำไม่ลดลงจริง”
ดร.วันนิวัต ระบุว่า เมื่ออุปทานบ้านไม่มากพอ แต่มีผู้เล่นใหม่ในตลาดเพิ่มขึ้น ย่อมทำให้ราคาบ้านขยับขึ้นต่อไป
ในที่สุดราคาบ้านก็หนีไม่พ้นจะสูงขึ้น เพราะอุปทานไม่ทันกับดีมานด์ ถึงแม้รัฐบาลจะพยายามเพิ่มจำนวนบ้าน แต่ก็ยังไม่เพียงพอดร. วันนิวัต ปันสุวงค์
นักเศรษฐศาสตร์อีกหลายคนก็มีความคิดเห็นไปในทางเดียวกันกับ ดร. วันนิวัต เช่น
เช่น โอลิเวอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัท AMP ให้สัมภาษณ์กับเอสบีเอส นิวส์ว่า โครงการนี้น่าจะได้รับความนิยม เนื่องจากผู้ซื้อบ้านโดยเฉลี่ยต้องใช้เวลาราว 11 ปี ในการเก็บเงินเพื่อวางเงินดาวน์ 20%
“โครงการนี้ถือเป็นแรงหนุนให้ผู้ซื้อบ้านหลังแรกได้เปรียบเหนือผู้ซื้อบ้านทั่วไปและนักลงทุน” เขากล่าว
“คาดว่าจะมีผู้สนใจจำนวนมากเร่งเข้ามาใช้สิทธิ์ ทำให้เกิดการแข่งขันในตลาด และมีผลผลักดันให้ราคาบ้านสูงขึ้น”
เขาเตือนว่า ราคาบ้านจะ “เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน” และจะทำให้ผู้ซื้อบ้านหลังแรกต้องแบกรับภาระหนี้ก้อนใหญ่ขึ้น
“คุณอาจเก็บเงินดาวน์ 5% ได้ภายในไม่กี่ปี แต่คุณยังมีหนี้อีก 95% ที่ต้องผ่อน ซึ่งเป็นระดับหนี้ที่สูงมาก”
อย่างไรก็ตาม สำหรับบางคน การซื้อบ้านให้เร็วขึ้นอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าทางการเงิน เพราะหากรอเก็บเงินดาวน์ 20% ตลาดอาจขยับขึ้นไปอีก จนทำให้ซื้อบ้านได้ยากกว่าเดิม
มีอะไรเปลี่ยนแปลงด้านที่อยู่อาศัยอีกบ้าง?
การเลื่อนเวลาเริ่มโครงการบ้านเงินดาวน์ 5% ให้เร็วขึ้น มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ในภาคที่อยู่อาศัย
โดยรัฐบาลจะ ชะลอการบังคับใช้กฎเกณฑ์การก่อสร้างแห่งชาติ (National Construction Code) ออกไปจนถึงปี 2029 เพื่อเร่งการสร้างบ้านให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มาตรฐานด้านความปลอดภัย จะยังคงมีผลบังคับใช้ โดยถูกมองว่าจะช่วยลดความซับซ้อนในการทำงานของแรงงานก่อสร้าง
การชะลอกฎดังกล่าวมีขึ้นหลังการประชุม Productivity Roundtable ของรัฐบาลกลาง ซึ่งได้ข้อสรุปให้ เร่งอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการสร้างบ้านกว่า 26,000 หลัง