การเมืองไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาเดินไปอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน พรรคประชาชนสร้างความประหลาดใจเมื่อประกาศโหวตสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
ดร.เกรก เรย์มอนด์ อาจารย์อาวุโสด้านยุทธศาสตร์และการป้องกัน จาก มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University) อธิบายว่า
“การเมืองไทยวันนี้เหมือนการแข่งขันหมากรุกที่ทุกพรรคพยายามหาทางเอาชนะ แต่การยื่นยุบสภาของเพื่อไทยน่าจะไม่ประสบความสำเร็จ และสิ่งที่น่าจับตาคือการโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะเกิดขึ้นในสภา”
แต่ความเงียบงันจากการยื่นยุบสภาถูกตีความไปต่าง ๆ บางฝ่ายมองว่าอาจมีปัญหาทางกฎหมายและขั้นตอน บางฝ่ายตั้งข้อสงสัยถึงแรงกดดันที่ไม่ได้เปิดเผย
ดร.เกรกชี้ว่า “สิ่งที่น่าสนใจคือ เรายังไม่เห็นเอกสารใดที่ยืนยันว่าการยื่นยุบสภาประสบความสำเร็จ
นี่อาจสะท้อนถึง ‘อำนาจที่มองไม่เห็น’ ที่ยังคงมีบทบาทในการเมืองไทย และทำให้เส้นทางการโหวตนายกฯ กลายเป็นทางออกเดียวที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
ดีลข้ามขั้วพรรคประชาชน–ภูมิใจไทย
สิ่งที่สร้างแรงสั่นสะเทือนคือการที่พรรคประชาชนจับมือกับพรรคภูมิใจไทย พร้อมเสนอเงื่อนไขการปฏิรูป 5 ข้อให้นายอนุทิน ดร.เกรกอธิบายว่า
ฝ่ายอนุรักษ์นิยมอาาจะไม่สนับสนุนเงื่อนไขเหล่านี้ แต่อนุทินมองว่านี่คือโอกาสสำคัญที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะอาจไม่มีครั้งที่สองดร. เกรก เรย์มอนด์ กล่าว
การประนีประนอมจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อนุทินต้องทรงตัวระหว่างแรงกดดันจากฝ่ายประชาชนที่ต้องการการปฏิรูป กับฝ่ายอนุรักษนิยมที่หวังความต่อเนื่องและเสถียรภาพ
ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้คือการดึงเกมให้ยืดเยื้อ โดยหวังว่าพรรคประชาชนจะเผชิญอุปสรรคหรือแรงเสียดทาน จนทำให้ภูมิใจไทยกลายเป็นตัวเลือกที่ “ไว้ใจได้มากกว่า”
ดร.เกรกเปรียบเทียบว่า “สถานการณ์นี้คล้ายช่วงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2551 แม้ไม่ได้ชนะเลือกตั้งโดยตรง แต่สามารถดำรงตำแหน่งอยู่ได้ถึง 3 ปีด้วยแรงหนุนจากฝ่ายอนุรักษนิยม”
พรรคประชาชน เสี่ยงเสียภาพลักษณ์?
การเดินหมากจับมือข้ามขั้วครั้งนี้สร้างความเสี่ยงต่อพรรคประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากฐานเสียงหลักของพรรคคือผู้ที่เชื่อมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตยและการปฏิรูป
“นี่เป็นความเสี่ยงแน่นอนต่อภาพลักษณ์ของพรรคประชาชน” ดร.เกรกเตือน
“แต่หากพรรคตัดสินใจเป็นฝ่ายค้านและไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรีใด ๆ ผู้สนับสนุนอาจเข้าใจ และความเสียหายจะถูกจำกัดลง”
นั่นหมายความว่าพรรคประชาชนยังมีโอกาสรักษาทุนทางการเมืองไว้ หากสามารถสื่อสารได้ชัดเจนว่าความร่วมมือกับภูมิใจไทยเป็นเพียงยุทธวิธีชั่วคราวเพื่อผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การละทิ้งอุดมการณ์

ณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ชูบันทึกความเข้าใจที่ลงนามกับพรรคภูมิใจไทย ที่อาคารรัฐสภา กรุงเทพฯ วันพุธที่ 3 ก.ย. 2568 Source: AP / Sakchai Lalit/AP/AAP Image
ภูมิใจไทยกับนายกฯ ที่อาจยืนระยะยาว
การจับมือระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย ซึ่งผลักดันให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
พร้อมเงื่อนไขการปฏิรูป 5 ข้อ ถูกจับตามองอย่างหนัก เพราะนี่คือดีลที่อาจกำหนดทิศทางการเมืองไทยในช่วงต่อไป
ดร.เกรก เรย์มอนด์ วิเคราะห์ว่า ข้อเสนอปฏิรูปดังกล่าวอาจสร้างความไม่พอใจต่อฝ่ายอนุรักษนิยม แต่สำหรับอนุทินแล้ว โอกาสเช่นนี้คือสิ่งที่รอคอยมานาน
“คุณอนุทินมีความต้องการมาตลอดที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีเขารู้ว่านี่อาจเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตการเมือง ดังนั้นเขาจำเป็นต้องคว้าไว้ แม้จะต้องประนีประนอมกับทั้งสองขั้วที่มีวิสัยทัศน์ตรงข้ามกัน"
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้พรรคประชาชนจะยื่นเงื่อนไขการปฏิรูปเพื่อแลกกับการสนับสนุน
แต่ในระยะยาว ข้อตกลงนี้อาจไม่มีน้ำหนักมากนัก เหตุผลสำคัญคือฝ่ายอนุรักษนิยมมีแนวโน้ม “ไว้วางใจ” พรรคภูมิใจไทยมากกว่าพรรคประชาชน และพร้อมจะยืดเส้นทางทางการเมืองให้อนุทินดำรงตำแหน่งต่อไป
เกมการเมืองที่ไม่สมดุล
ดร.เกรกชี้ว่า สถานการณ์เช่นนี้อาจคล้ายกับช่วงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2551 แม้ไม่ได้ชนะการเลือกตั้ง
แต่สามารถอยู่ในตำแหน่งได้ถึง 3 ปี ด้วยแรงหนุนจากกลุ่มอนุรักษนิยมและเครือข่ายอำนาจนอกสภา
“ฝ่ายอนุรักษนิยมอาจใช้ปัจจัยทางกฎหมายหรือข้อกล่าวหาต่าง ๆ ในการกดดันพรรคประชาชน เช่น การฟ้องร้องคดี หรือการใช้กติกาที่บิดเบี้ยว เพื่อให้พรรคประชาชนสะดุดและเสียความชอบธรรม”
ในกรณีนั้น หากพรรคประชาชนถูกบีบจนไม่สามารถเดินตามข้อตกลงปฏิรูปได้เต็มที่ ผลลัพธ์คือการเปิดทางให้นายอนุทินสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปได้ยาว
แม้จะต้องแลกมาด้วยการประนีประนอมและการชะลอวาระการปฏิรูปที่เคยประกาศไว้
เลือกตั้งใหม่: ใครจะได้เปรียบ
หากเกิดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 4 เดือนหลังรัฐบาลอนุทินแถลงนโยบาย ทุกพรรคจะลงสนามด้วยเงื่อนไขที่ต่างออกไป
พรรคเพื่อไทยอาจเผชิญแรงกดดันจากผลงานเศรษฐกิจที่ไม่ตอบโจทย์ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทำให้คะแนนนิยมลดลง
ขณะที่พรรคประชาชนยังคงมีฐานสนับสนุนเหนียวแน่น แต่ก็อาจสูญเสียแรงหนุนบางส่วนจากความไม่พอใจต่อการจับมือกับภูมิใจไทย
ส่วนพรรคประชารัฐ ดร. เกรก มองว่าอาจจะได้รับความนิยมน้อยลงหลังจากนี้เพราะว่าคิดว่าไม่มีนโยบายอะไรที่ทำได้อย่างแท้จริง
"และคิดว่าสมัยของลุง (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ก็หมดแล้ว"
ในอีกด้านหนึ่ง ภูมิใจไทยอาจกลายเป็นตัวเลือกที่น่าจับตา เพราะภาพลักษณ์ “เสถียรภาพ” ที่ประชาชนจำนวนหนึ่งโหยหาในภาวะการเมืองที่ผันผวน

ดร. เกรก เรย์มอนด์ อาจารย์อาวุโสประจำศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และการป้องกันประเทศ (Strategic and Defence Studies Centre) จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University: ANU) Credit: Supplied/Dr. Greg Raymond
ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร
สุภาษิตไทยที่ว่า “ในการเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” ถูกหยิบยกขึ้นมาเสมอเมื่อเกิดการจับมือที่คาดไม่ถึงระหว่างพรรคการเมืองที่เคยเป็นคู่แข่งกัน
การที่พรรคประชาชนประกาศสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยเพื่อดันนายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ก็สะท้อนภาพนี้อย่างชัดเจน
ดร.เกรก เรย์มอนด์ อธิบายว่า ความยืดหยุ่นเช่นนี้ถือเป็นลักษณะเฉพาะของการเมืองไทย
“การเมืองไทยมีลักษณะที่ฝ่ายที่มีหลักการตรงข้ามกันสามารถกลายมาเป็นพันธมิตรกันได้ง่าย แต่ในออสเตรเลียเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าพรรคเสรีนิยมจะจับมือเข้าร่วมรัฐบาลผสมกับพรรคแรงงาน”
คำเปรียบเทียบนี้ชี้ให้เห็นว่า ระบบการเมืองไทยเปิดช่องให้เกิดการ “สลับขั้ว” อย่างฉับพลันเพื่อเป้าหมายระยะสั้น นั่นเพราะกติกาทางการเมือง
โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญปี 2560 บังคับให้ทุกพรรคต้องประนีประนอมเพื่ออยู่รอด ไม่ว่ากับฝ่ายที่มีอุดมการณ์ตรงกันข้ามเพียงใด
พันธนาการจากรัฐธรรมนูญ 2560
ข้อจำกัดสำคัญที่สุดคือกติกาที่วางไว้โดยรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งทำให้การเมืองไทยวนเวียนอยู่ในวังวนเดิม
ถ้าไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ เราจะเห็นวงจรอุบาทว์เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกดร.เกรก เรย์มอนด์ กล่าว
“เพราะกติกานี้ทำให้พรรคการเมืองใด ๆ ยากที่จะได้เสียงข้างมาก และยังเปิดช่องให้กลุ่มอนุรักษนิยมใช้อำนาจของวุฒิสภาและศาลเข้ามากำหนดทิศทาง”
นั่นหมายความว่า แม้จะมีการเลือกตั้งใหม่ ผลลัพธ์ก็อาจเป็นเพียงการรีเซ็ตเกม แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
ภาพลักษณ์ไทยบนเวทีโลก
วิกฤติการเมืองภายในยังส่งผลต่อบทบาทของไทยในภูมิภาคและระดับนานาชาติ
“มหาอำนาจและประเทศเพื่อนบ้านคุ้นเคยกับความไม่เสถียรของไทยมาตั้งแต่ปี 2549” ดร.เกรกกล่าว
“น่าเสียดายที่ประเทศไทยพลาดโอกาสที่จะเป็นผู้นำในอาเซียนเหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณ และต้องหันกลับมาแก้ปัญหาภายในประเทศมากกว่า”
แม้ไทยยังคงมีจุดแข็งด้านเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน ข้าราชการและนักการทูตที่มืออาชีพ แต่ความวุ่นวายทางการเมืองทำให้ประเทศไม่สามารถใช้ทรัพยากรเหล่านี้เพื่อเสริมอิทธิพลในภูมิภาคได้อย่างเต็มที่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ การยุบสภาที่ไม่สำเร็จ การดันอนุทินขึ้นเป็นนายกฯ และความเสี่ยงของพรรคประชาชน ไม่ได้สะท้อนถึง “จุดเปลี่ยน” ของการเมืองไทย หากแต่เป็นการ “รีเซ็ตเกม” อีกครั้งภายใต้กติกาเดิม
ตราบใดที่รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ถูกแก้ไข การเมืองไทยก็อาจยังคงติดอยู่ในวังวนของการเลือกตั้ง รัฐบาลผสมที่เปราะบาง และการต่อรองอำนาจที่ไม่เคยให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง