หนึ่งในจุลชีพที่เป็นอันตรายทางน้ำมากที่สุดของโลก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “อะมีบากินสมอง” (brain-eating amoeba) ถูกตรวจพบในระบบน้ำดื่มสองแห่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐควีนส์แลนด์
เมืองที่ได้รับผลกระทบทั้งสองแห่งอยู่ห่างจากนครบริสเบนไปทางตะวันตกประมาณ 750 กิโลเมตร ได้แก่ เมืองออกาเธลลา (Augathella) ซึ่งมีประชากรราว 300 คน และเมืองชาร์เลวิลล์ (Charleville) ซึ่งมีประชากรราว 3,000 คน
จากการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำที่จัดทำโดยกรมสาธารณสุขรัฐควีนส์แลนด์ พบเชื้อ Naegleria fowleri หรือชื่อในภาษาไทยนิยมเรียกว่า “อะมีบากินสมอง” ในระบบน้ำของสถานพยาบาลสองแห่ง
หนึ่งแห่งในเมืองชาร์เลวิลล์ และอีกหนึ่งแห่งในเมืองออกาเธลลา รวมทั้งในระบบน้ำประปาที่ส่งเข้ามายังสถานพยาบาลทั้งสองแห่งด้วย
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม สภาไชร์เมอร์เวห์ (Shire Council of Murweh) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งสองเมืองที่ได้รับผลกระทบ ได้ออกประกาศเตือนด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนและผู้มาเยือน หลังมีการตรวจพบเชื้อ N. fowleri ในน้ำประปา
เรามารู้จักเชื้อจุลชีพชนิดนี้และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับชาวเมืองในรัฐควีนส์แลนด์ รวมถึงพื้นที่อื่นๆ
อะมีบากินสมองคืออะไร?
อะมีบา Naegleria fowleri เป็นจุลชีพขนาดเล็กที่พบได้ทั่วโลก โดยจะอาศัยอยู่ในน้ำจืดที่มีอุณหภูมิอบอุ่นระหว่าง 25 ถึง 40 องศาเซลเซียส เช่น บ่อน้ำ ทะเลสาบ แม่น้ำ ลำธาร และบ่อน้ำพุร้อน
หากมนุษย์ติดเชื้ออะมีบาชนิดนี้ จะทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบอะมีบาชนิดปฐมภูมิ (primary amoebic meningoencephalitis) ซึ่งเป็นการติดเชื้อรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อสมองโดยตรง
อาการและความรุนแรงของโรค
อาการของผู้ติดเชื้อ ได้แก่ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ประสาทหลอน สับสน อาเจียน มีไข้ คอแข็ง การรับรสและกลิ่นเปลี่ยนแปลง รวมถึงอาการชัก
ระยะฟักตัวของโรคเยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบอะมีบาชนิดปฐมภูมิ (primary amoebic meningoencephalitis) หรือช่วงเวลาตั้งแต่ติดเชื้อจนกระทั่งเริ่มแสดงอาการ มักอยู่ระหว่าง 3 ถึง 7 วัน
แม้ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีแต่คนที่ป่วยเป็นโรคนี้มักจะเสียชีวิตทุกราย โดยปกติการเสียชีวิตจะเกิดขึ้นภายในประมาณ 5 วันหลังเริ่มแสดงอาการ
อย่างไรก็ตาม กรณีติดเชื้อนี้ถือว่าพบได้น้อยมาก ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) รายงานว่า ระหว่างปี 2505 ถึง 2567 มีผู้ติดเชื้อเพียง 167 ราย และมีผู้รอดชีวิตเพียง 4 คน
สำหรับรายงานการเก็บข้อมูลของผู้ติดเชื้อโรคนี้ทั่วโลกจนถึงปี 2561 พบว่ามีผู้ติดเชื้อที่ได้รับการบันทึกทั้งหมด 381 ราย
โดยในจำนวนนี้ ออสเตรเลียมี 22 ราย ซึ่งมากเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา ปากีสถาน เม็กซิโก และอินเดีย โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 92
คนติดเชื้อนี้ได้อย่างไร?
เส้นทางการติดเชื้อของ Naegleria fowleri ถือว่าผิดปกติและเฉพาะเจาะจงมาก เชื้อนี้จะเข้าสู่สมองผ่านทางโพรงจมูก จากนั้นจึงผ่านเยื่อบุจมูก (nasal epithelium) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเยื่อป้องกันร่างกาย
เยื่อบุจมูกถือเป็นเกราะป้องกันทางกายภาพที่สำคัญ แต่เชื้ออะมีบาสามารถผ่านเข้าไปและเดินทางไปยังสมองได้ผ่านเส้นประสาทรับกลิ่น
ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการรับรู้กลิ่น จากนั้นการติดเชื้อจะทำลายเนื้อสมองและทำให้สมองบวม ซึ่งเรียกว่า “สมองบวมน้ำ” (cerebral oedema)
การติดเชื้อเกิดขึ้นเมื่อมีน้ำที่ปนเปื้อนเข้าสู่โพรงจมูก กรณีส่วนใหญ่พบในเด็กและคนหนุ่มสาวที่ลงเล่นน้ำในแหล่งน้ำที่มีเชื้อ และผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย โดยมีอายุเฉลี่ยราว 14 ปี
แม้แต่การเล่นกีฬาทางน้ำในพื้นที่น้ำปนเปื้อนก็ถือว่าเสี่ยงอันตรายเช่นกัน ปัจจุบันมีผู้ป่วยรายหนึ่งในรัฐมิสซูรีของสหรัฐฯ ที่อยู่ในห้องไอซียู หลังคาดว่าได้รับเชื้อขณะเล่นสกีน้ำ
สำหรับกรณีการตรวจพบเชื้อในระบบน้ำประปาของรัฐควีนส์แลนด์ในขณะนี้ ยังไม่ทราบแหล่งที่มาของการปนเปื้อนที่แน่ชัด
แต่อาจเป็นไปได้ว่ามีแหล่งน้ำจืดหรือแหล่งน้ำบาดาลที่ไหลเข้าสู่ระบบน้ำประปา ซึ่งได้รับการปนเปื้อนด้วยเชื้อ N. fowleri และเชื้อได้แพร่เข้าสู่ระบบดังกล่าว ซึ่งรายละเอียดยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนเพิ่มเติมต่อไป
ดื่มน้ำที่มีเชื้อนี้อันตรายหรือไม่?
โรคเยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบอะมีบาชนิดปฐมภูมิ ไม่สามารถติดได้จากการดื่มน้ำที่ปนเปื้อน
แต่อาจเกิดอันตรายได้ หากมีกิจกรรมที่ทำให้น้ำปนเปื้อนเข้าสู่โพรงจมูก เช่น ขณะอาบน้ำหรือน้ำเข้าจมูกระหว่างการอาบฝักบัว
อ่านเพิ่มเติม

น้ำดื่มรีไซเคิล หนทางแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำดื่มในอนาคต
บางคนใช้น้ำล้างโพรงจมูกเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูกจากภูมิแพ้หรือการติดเชื้อไวรัส ซึ่งมีรายงานว่ามีความเชื่อมโยงกับการติดเชื้อ N. fowleri ดังนั้นหากต้องการล้างโพรงจมูก ควรใช้น้ำเกลือปราศจากเชื้อ (sterile saline solution) เท่านั้น
แม้แต่เด็กเล็กที่เล่นน้ำจากสายยาง เครื่องพ่นน้ำ หรือกิจกรรมเล่นน้ำต่าง ๆ ก็อาจมีความเสี่ยงเช่นกัน โดยในปี 2566 มีรายงานเด็กอายุ 16 เดือนในสหรัฐอเมริกาเสียชีวิต
หลังติดเชื้อจากการเล่นในพื้นที่เล่นน้ำ (splash pad) ที่ปนเปื้อนเชื้อ ซึ่งเป็นกิจกรรมสันทนาการที่ใช้การสาดน้ำหรือฉีดพ่นน้ำเป็นหลัก และนิยมสำหรับเด็กเล็ก
สถานการณ์ในควีนส์แลนด์เสี่ยงแค่ไหน?
แนวทางการจัดการน้ำดื่มของออสเตรเลียระบุว่า
“หากตรวจพบเชื้อ ควรขอคำแนะนำจากหน่วยงานสาธารณสุขหรือผู้กำกับดูแลน้ำดื่มที่เกี่ยวข้อง”
แนวทางดังกล่าวยังได้ให้คำแนะนำวิธีการฆ่าเชื้อและควบคุม N. fowleri ในระบบน้ำ โดยใช้คลอรีนและสารเคมีอื่น ๆ
ทั้งนี้ ระบบน้ำประปาสาธารณะทั่วประเทศออสเตรเลียมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำที่ประชาชนบริโภคมีความปลอดภัย
ข้อควรรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงและการป้องกัน
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการตรวจพบเชื้อ N. fowleri ในน้ำประปาของเมืองในส่วนภูมิภาคของรัฐควีนส์แลนด์ แต่ควรย้ำว่า การดื่มหรือใช้น้ำที่ปนเปื้อนในการประกอบอาหารจะไม่ทำให้ติดเชื้อ
สิ่งที่ควรระมัดระวังคือกิจกรรมที่อาจทำให้น้ำที่ปนเปื้อนเข้าสู่โพรงจมูก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พบการตรวจเจอเชื้อ
การปนเปื้อนของเชื้อในระบบน้ำประปาสาธารณะถือว่าเกิดขึ้นได้ยากมาก และไม่ใช่สิ่งที่พบได้บ่อยในเมืองอื่นๆ ของออสเตรเลีย
วิธีลดความเสี่ยงเมื่อลงเล่นน้ำในแหล่งน้ำจืดที่อุ่นและอาจมีการปนเปื้อน ได้แก่
- พยายามว่ายน้ำโดยให้ศีรษะพ้นน้ำ และหลีกเลี่ยงการกระโดดหรือดำน้ำ
- หากต้องการว่ายน้ำโดยเอาศีรษะลงน้ำ ควรใช้ที่หนีบจมูก (nose-clip)
- เชื้ออะมีบาไม่สามารถอยู่รอดในน้ำเค็ม ดังนั้นการว่ายน้ำในทะเลจึงปลอดภัย
- สระว่ายน้ำที่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน ถือว่าปลอดภัยจากเชื้อนี้
กระทรวงสาธารณสุขรัฐนิวเซาท์เวลส์ยังแนะนำเพิ่มเติมว่า เชื้อ N. fowleri ไม่สามารถอยู่รอดได้ในน้ำที่สะอาด เย็น และมีการเติมคลอรีนอย่างเพียงพอ