ประเด็นสำคัญ
- สิทธิในที่ดินจะคืนพื้นที่บางส่วนของที่ดินของรัฐ (ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนบุคคล) ให้แก่ชุมชนชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรส เพื่อผลประโยชน์ทางวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจ
- สิทธิในที่ดิน กรรมสิทธิ์พื้นเมือง และสนธิสัญญา เป็นกระบวนการทางกฎหมายและการเมืองที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดมุ่งหวังที่จะตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างชนพื้นเมืองกับประเทศชาติ และสนับสนุนการตัดสินใจด้วยตนเอง
- การเคลื่อนไหวนี้เริ่มต้นจากเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การเดินขบวนประท้วงที่เวฟฮิลล์ในปี ซึ่งนำไปสู่กฎหมายสำคัญๆ เช่น พระราชบัญญัติสิทธิในที่ดินของชาวอะบอริจิน (เขตปกครองนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี)
เป็นเวลายาวนานที่ความผูกพันระหว่างชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสกับดินแดนของพวกเขาไม่ได้รับการยอมรับ กฎหมายสิทธิในที่ดินดั้งเดิมจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อให้พวกเขามีสิทธิทางกฎหมาย ในการครอบครองและจัดการที่ดินดั้งเดิม
นับเป็นเวลาหมื่นปี ที่ชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสดูแลผืนดินนี้
แต่การล่าอาณานิคมได้ยึดที่ดินนั้นไป โดยไม่มีข้อตกลง ด้วยการอิงแนวคิด ‘terra nullius’ ซึ่งแปลว่า “แผ่นดินที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ”
ขบวนการเรียกร้องสิทธิในที่ดินดั้งเดิมเริ่มเป็นที่จับตามองเมื่อปี 1966 จากการประท้วง Wave Hill Walk-Off ส่งผลให้มีการทำประชามติระดับชาติเปิดทางให้รัฐบาลสามารถออกกฎหมายสำหรับชนพื้นเมืองได้ในปี 1967 และในปี 1976 พระราชบัญญัติสิทธิในที่ดินของชาวอะบอริจิน (เขตปกครองนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี) (Aboriginal Land Rights (Northern Territory) Act) ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกที่รับรองการอ้างสิทธิในที่ดินดั้งเดิม

นายกรัฐมนตรี กัฟ วิทแลม ส่งคืนผืนดินเชิงสัญลักษณ์ให้แก่ชาวกูรินจิเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 1975 โดยอดีตนายกรัฐมนตรีวิทแลมเททรายลงบนมือของวินเซนต์ ลิงเกียรี Source: AAP
ส่งผลให้มีการก่อตั้งสภาที่ดิน (land councils) เพื่อเป็นตัวแทนของชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรส รวมถึงช่วยจัดการที่ดินที่ได้กลับคืนมา
อย่างไรก็ตาม สิทธิในที่ดินดั้งเดิมใช้ได้เฉพาะที่ดินของรัฐ (Crown land) ไม่ใช่ที่ดินเอกชน และไม่สามารถขายหรือจำนองได้ โดยที่ดินจะถูกถือไว้ในรูปแบบทรัสต์ เพื่อให้ชนพื้นเมืองดูแลดินแดนของพวกเขา และมีสิทธิในการตัดสินใจ
ดร. เวอร์จิเนีย มาร์แชลล์ สตรีเชื้อสายวิรัดจูรี นเยมบา และผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิในแหล่งน้ำ อธิบายถึงความหมายลึกซึ้งของความสัมพันธ์ระหว่างชนพื้นเมือง กับผืนดินและแหล่งน้ำ
“น้ำพูดกับเรา ต้นไม้พูดกับเรา เราไม่จำเป็นต้องนำเอาอุดมการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมแบบตะวันตกมาใช้ ซึ่งไม่ได้ตั้งอยู่บนความเข้าใจ กฎหมาย และเรื่องราวการกำเนิดของเราที่สืบทอดมา”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

The Stolen Generation: ประวัติศาสตร์แสนเจ็บปวดและผลกระทบที่ยังคงอยู่
เพื่อให้เข้าใจได้ถ่องแท้ คำว่า land rights, native title และ treaty สามคำนี้มักถูกพูดถึงร่วมกัน แต่แต่ละคำมีความหมายต่างกัน
Land rights หรือสิทธิในที่ดินดั้งเดิม คือกฎหมายที่รัฐบาลจัดทำขึ้นเพื่อคืนที่ดินบางส่วนให้แก่ชุมชนชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรส โดยทั่วไปจะมีสภาที่ดิน (land councils) ดูแลและเป็นตัวแทนจัดการ
Native title หรือกรรมสิทธิ์ดั้งเดิม คือการรับรองตามกฎหมายว่าชนพื้นเมืองบางกลุ่มยังคงมีสิทธิในที่ดินและแหล่งน้ำของตน โดยอิงตามกฎหมายและจารีตดั้งเดิมที่สืบทอดต่อกันมาหลายพันปี
Treaty หรือสนธิสัญญา คือข้อตกลงอย่างเป็นทางการระหว่างรัฐบาลกับชนพื้นเมือง ซึ่งประเทศอย่างนิวซีแลนด์และแคนาดามีแล้ว แต่ออสเตรเลียยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ และยังไม่เคยมีสนธิสัญญาระดับชาติ
สามแนวทางนี้ล้วนมีเป้าหมายเพื่อสร้างความยุติธรรม การยอมรับ และการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง การฟื้นฟูที่ดินทำให้ชุมชนได้กลับมาเชื่อมโยงกับภาษา วัฒนธรรม และดินแดน และยังส่งเสริมด้านที่อยู่อาศัย สุขภาพ และความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจ
ดร. มาร์แชลล์ อธิบายถึงความสำคัญของเรื่องนี้
“เราต้องมีสิทธิในการกำหนดอนาคตเอง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคณะกรรมการ การทำวิจัย การคิดค้นไอเดียใหม่ การสร้างโอกาสและความร่วมมือในเทคโนโลยี รวมถึงด้านสุขภาพด้วย”

การเดินขบวนประท้วงที่เวฟฮิลล์ นำโดยวินเซนต์ ลินเจียรี ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์สิทธิในที่ดินของชาวอะบอริจินออสเตรเลีย ในปี 1966 โดยคนงานเลี้ยงสัตว์ชาวกูรินจิ คนงานบ้าน และครอบครัวของพวกเขาได้เดินขบวนประท้วงที่สถานีเวฟฮิลล์ เพื่อประท้วงสภาพการทำงานที่ย่ำแย่และการขาดสิทธิในที่ดิน Credit: National Museum Australia
ลุงแบร์รี ดันแคน ชายเชื้อสายโกเมรอย (Gomeroi) เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งดั้งเดิมของชนชาติดาร์คินจัง ตั้งแต่ปี 1983
สำหรับผม มันหมายถึงการรวมชุมชนเข้าด้วยกัน และเป็นหนทางให้ที่ดินได้กลับคืนสู่ความเป็นเจ้าของของชาวอะบอริจินอีกครั้งลุงแบร์รี ดันแคน กล่าว

วินเซนต์ ลินเจียรี ข้างแผ่นป้ายประกาศการมอบสัญญาเช่าใน วัตที ครีก ปี 1975 Credit: National Museum Australia
“ในตอนแรกที่ประกาศสิทธิในที่ดินดั้งเดิมออกมา คนที่ไม่ใช่ชนพื้นเมืองพูดกันว่าเราจะมายึดบ้านของเขา จะมาแย่งที่ดิน ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้สร้างความเสียหายอย่างมาก แต่ตอนนี้ คนรุ่นใหม่เข้าใจแล้วว่า เราจัดการที่ดินได้อย่างชาญฉลาดและรอบคอบ”
สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ การให้สิทธิในที่ดินแก่ชนพื้นเมือง ไม่ได้หมายถึงการเอาบ้านหรือ “สวนหลังบ้าน” ของใครไป
สิทธิในที่ดินครอบคลุมเฉพาะที่ดินของรัฐบาล (Crown land) ไม่ใช่ที่ดินเอกชน และเป็นการคืนที่ดินให้กับชุมชนพื้นเมืองที่มีความสัมพันธ์ดั้งเดิมกับพื้นที่ ผ่านการอยู่อาศัยในอดีตหรือความสำคัญทางวัฒนธรรม
อย่างไรก็ตาม กระบวนการเรื่องนี้ยังคงซับซ้อนและดำเนินไปอย่างเชื่องช้า อีกทั้งพื้นที่ที่สามารถคืนได้ก็มีจำกัด สิทธิในที่ดินยังเชื่อมโยงกับการเรียกร้องความยุติธรรม การปรองดอง และการยอมรับอธิปไตยของชนพื้นเมือง
สำหรับผู้ที่เพิ่งมาอาศัยในออสเตรเลีย การเข้าใจเรื่องสิทธิในที่ดินดั้งเดิมคือก้าวสำคัญที่จะเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่ลึกซึ้งของประเทศนี้ สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องของการเสียที่ดิน แต่คือการยอมรับและการฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่มีมากว่า 60,000 ปี ระหว่างชนพื้นเมืองและดินแดน
อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่นี่
- What are Aboriginal land rights in Australia?
- How did the Aboriginal land rights movement begin?
- What does Aboriginal land rights cover?
- What is the difference between Aboriginal land rights, native title and treaty?
- Why do Aboriginal land rights matter today?
- A local example: Darkinjung Aboriginal Land Council
- What are the challenges ahead for Aboriginal land rights?
- Why Indigenous land rights matter for all Australians?
Australia Explained เป็นพอดคาสต์ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่ในออสเตรเลีย