รัฐวิกตอเรียเตรียมเดินหน้ากฎหมายที่อาจทำให้เยาวชนอายุเพียง 14 ปี ต้องเผชิญโทษจำคุกแบบผู้ใหญ่ในคดีอาชญากรรมร้ายแรง ซึ่งรวมถึงโทษจำคุกตลอดชีวิต ก้าวตาม รัฐควีนส์แลนด์ ที่บังคับใช้กฎหมายเข้มงวดคล้ายกันในช่วงปี 2024
การประกาศครั้งนี้ได้สร้างกระแสถกเถียงในสังคม และสะท้อนความกังวลของชุมชนไทยในเมลเบิร์นอย่างหลากหลาย มุขมนตรีรัฐวิกตอเรีย จาซินตา อัลลัน ระบุผ่านโซเชียลมีเดียว่า
“เรากำลังนำกฎหมายโทษจำคุกแบบผู้ใหญ่มาใช้สำหรับอาชญากรรมรุนแรง”
กฎหมายนี้อาจเปิดทางให้เยาวชนอายุ 14 ปีต้องโทษเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ในคดีร้ายแรง เช่น ฆาตกรรม ทำร้ายร่างกายสาหัส หรือบุกรุกบ้านพร้อมใช้ความรุนแรง
ความกังวลต่อกฎหมายนี้
เมล วอล์คเกอร์ อดีตประธานฝ่ายกฎหมายอาญาของสถาบันกฎหมายวิกตอเรีย เห็นว่ากฎหมายใหม่นี้ “เลวร้ายและไร้ประสิทธิภาพ” โดยตั้งคำถามว่า
“เราพร้อมหรือไม่ที่จะปฏิบัติกับเด็กในลักษณะนี้? และอีกกี่ปีข้างหน้า เราจะรับมือกับผลกระทบจากการที่เด็กถูกควบคุมตัวแบบผู้ใหญ่ได้จริงหรือไม่?”
เธอชี้ว่าเด็กจำนวนมากที่เข้าระบบศาลเยาวชนเคยเผชิญความรุนแรงในครอบครัว หรือโตมาแบบไม่มีระบบสนับสนุน
“เด็กจำนวนมากขาดความเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและสมองของพวกเขายังพัฒนาไม่เต็มที่พอที่จะคิดวิเคราะห์ผลลัพธ์ในระยะยาวได้” ขณะเดียวกัน ฝ่ายค้านในวิกตอเรียวิจารณ์ว่าการประกาศนี้ “เหมือนการหาพาดหัวข่าวโดยไม่มีแผนปฏิบัติที่แท้จริง”
เสียงจากชุมชนไทยในเมลเบิร์นต่อกฎหมาย Adult time for Violent Crime
เอสบีเอสไทยพาคุณไปสำรวจเสียงคนไทยในนครเมลเบิร์นเพื่อสะท้อนให้เห็นภาพที่ซับซ้อนและความเห็นที่หลากหลายกับมาตรการใหม่ดังกล่าว
ระหว่างคนที่กังวลว่าการที่รัฐมาตรการ “ลงโทษเด็กเหมือนผู้ใหญ่” เป็นการลงโทษที่เร็วและแรงเกินไป” กับคนที่มองว่าถึงเวลาต้อง “เข้มงวดจริงจัง” เพื่อสกัดปัญหาอาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้นในรัฐวิกตอเรีย
ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้โทษแบบผู้ใหญ่กับเด็กอายุเพียง 14 ปี ให้เหตุผลคล้ายกันคือ เด็กยังอยู่ในวัยเรียนรู้และควรได้รับโอกาสมากกว่าถูกปิดทางอนาคต ต้อม หนึ่งในสมาชิกชุมชนไทยในเมลเบิร์น บอกว่า
เด็กอายุ 14 ปียังอยู่ในช่วงกำลังเรียนรู้ การตัดสินโทษแบบผู้ใหญ่อาจรุนแรงไปนิดนึง ควรพิจารณาแบบรอบด้านที่สุดต้อม กล่าว
ขณะที่นนนา ชวนให้ลองย้อนมองชีวิตของตัวเองในวัยเดียวกัน พร้อมตั้งคำถามต่อสังคมว่ากฎหมายใหม่จะใช้ระบบยุติธรรมไปตัดสินชีวิตเด็กเร็วเกินไปหรือไม่ เธอให้ความเห็นว่า
“คนอายุ 14 จริงๆ แล้วยังไม่ประสีประสา ยังไม่ได้เรียนรู้อะไรในชีวิตมาก เพิ่งจะพ้นการเป็นเด็กมาได้ไม่นานสักเท่าไหร่ เป็นเราที่เคยอยู่เมืองไทยก็คือ ม.1-2 ถ้าเรามองย้อนกลับไป (มองตัวเอง) ตัวเราก็ยังเด็กมากอยู่”
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็มีเสียงจากคนไทยที่ “เห็นด้วย” กับการเพิ่มโทษในคดีอาชญากรรมรุนแรง เช่น เปย์มองว่าหากไม่เริ่มดำเนินการอย่างจริงจัง ปัญหาอาชญากรรมเยาวชนก็จะลากยาวต่อไป เธอกล่าวว่า
“เห็นด้วยค่ะ เพราะกฎหมายไม่มีความเด็ดขาดพอ คนทำผิดไม่เกรงกลัวในสิ่งที่ทำ เพราะถ้าไม่เริ่มจากจุดไหนเลย มันก็จะ continue มันต้องมีมาตรการที่ใช้ได้จริงและสมเหตุสมผล”
เธอเชื่อว่า การเพิ่มโทษแม้จะไม่ใช่คำตอบทั้งหมด แต่อาจช่วยให้เด็กบางคน “คิดก่อนทำผิด” โดยเฉพาะคนที่ยังพอมีสติยั้งคิดและกลัวผลลัพธ์ที่จะตามมา
การเพิ่มโทษจะช่วยลดอาชญากรรมได้จริงหรือไม่
สำหรับคำถามว่าแล้วการเพิ่มโทษจะช่วยลดอาชญากรรมได้จริงหรือไม่ มุมมองภายในชุมชนไทยก็แตกออกเป็นสองประเด็นเช่นกัน ด้านหนึ่ง มีความเชื่อว่าบทลงโทษที่หนักขึ้นอาจทำให้บางคนเกรงกลัวกฎหมาย และช่วยลดการกระทำผิดซ้ำในบางกรณี แต่อีกด้านหนึ่ง
ต้อมเตือนว่าผลลัพธ์อาจไม่ยั่งยืน เพราะปัญหาที่ผลักให้เด็กใช้ความรุนแรงมักมาจากรากลึก เช่น การเลี้ยงดูในครอบครัว ปัญหาความรุนแรงที่บ้าน ความเครียดจากเศรษฐกิจ และสภาพสังคมที่ทำให้เยาวชนรู้สึก “ไม่เป็นส่วนหนึ่ง” ของชุมชน เขาบอกว่า
“การเพิ่มโทษก็อาจจะช่วยได้บ้างในการปราบปรามไม่ให้เด็กในการกระทำความผิดซ้ำ หรือว่าอาจจะเกรงตัวต่อกฎหมาย แต่ถ้าจะยั่งยืนมั้ย ผมก็คิดว่ามันก็คงยังคงเกิดขึ้นอีก เพราะว่าเยาวชนส่วนใหญ่บางครั้งเค้าก็ มีความคิดที่แบบรุนแรงตามประสาวัยรุ่น อาจจะมาจากปัญหาหลายอย่าง เช่น ปัญหาครอบครัวหรือความกดดันจากสังคม”
แม้จะเห็นต่างเรื่องโทษจำคุกแบบผู้ใหญ่ แต่สิ่งที่ทั้งสามคนเห็นพ้องต้องกันคือ “กฎหมายอย่างเดียวไม่พอ” คนไทยในเมลเบิร์นเสนอว่ารัฐควรเดินคู่ขนานด้วยมาตรการสนับสนุนครอบครัว เพิ่มโอกาสทางการศึกษา ขยายบริการด้านสุขภาพจิตให้เข้าถึงง่ายขึ้น รวมถึงการลงทุนในกิจกรรมเยาวชน กีฬา ศิลปะ และโครงการทำงานกับชุมชนเชิงรากฐาน
ต้อมให้ความเห็นว่า
“รัฐควรมองได้ 2 ทางก็คืออย่างแรกก็คือดูแลความปลอดภัยของสังคมผ่านกฎหมายที่เหมาะสมกับเยาวชน และอีกอย่างนึงก็คือควรแก้ไขปัญหาแบบสร้างแรงผลักดันให้เด็กมีความตระหนัก รู้ถึงความรุนแรงและการก่ออาชญากรรม
“คิดว่ามาตรการที่รัฐควรให้ความสำคัญ อาจจะเป็นการสนับสนุนครอบครัว โอกาสทางการศึกษา การสนับสนุนการกีฬา และออกกฎหมายปกป้องในชุมชน”
ส่วน นนนาแนะนำว่าอาจใช้แนวทางคล้ายกับแนวคิดโครงการ “ทูบีนัมเบอร์วัน” ในประเทศไทยที่พยายามให้เด็กมีพื้นที่สร้างสรรค์และมีความฝัน ไม่ใช่ปล่อยให้ไปเสี่ยงกับวงจรอาชญากรรม
“อาจจะมีหน่วยงานอะไรที่รัฐอาจจะต้องตั้งขึ้นมา ให้มันทันเหตุการณ์ ดูว่าปัญหาของของเขาคือตรงไหนเพราะว่าเรารู้สึกว่าเราเราไม่ได้ยินตรงนั้น มันอาจจะมีก็ได้ แต่เราไม่ได้ยิน”
“อย่างที่ที่เมืองไทยเราก็จะมีแบบทูบีนัมเบอร์วันอะไรอย่างงี้ มันต้องไปลงลึก เป็นเรื่องรากหญ้า เรื่องเยาวชน มีกิจกรรม มี (ก่ารสนับสนุน) ความคิดความฝัน”
เมื่อพูดถึงคำถามใหญ่ที่คนไทยในเมลเบิร์นจำนวนไม่น้อยแอบถามกันเงียบ ๆ ว่า “เมลเบิร์นยังน่าอยู่เหมือนเดิมไหม” คำตอบก็แตกต่างกันไปตามประสบการณ์ชีวิต ต้อมมองว่าความรู้สึกปลอดภัยยังพอมี หากเราเลือกใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงน้อย
“ยังน่าอยู่ครับ ถ้าไม่กลับดึก ไม่เที่ยวกลางคืน ก็แทบไม่เจอเหตุการณ์อะไร”
แต่ในอีกมุมหนึ่ง เปย์เล่าประสบการณ์ตรงที่ทำให้รู้สึกว่าเมืองนี้ไม่น่าอยู่เท่าเดิม
“เคยเกือบโดนงัดบ้าน แจ้งตำรวจก็ไม่มา เราก็รู้สึกผวาได้ยินเสียงอะไรนิดหน่อยกลางคืนก็ตื่น
รู้สึกไม่ปลอดภัยจริง ๆ มันทำให้สุขภาพจิตเสีย มันไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่าคุณจะปลอดภัยหรือไม่เปย์ กล่าว







