Thai Voice: หลากความเห็นของชุมชนไทยต่อกฎหมาย "Adult Time for Violent Crime" ของรัฐวิกตอเรีย

Purple BG.jpg

รัฐวิกตอเรียเตรียมเดินหน้ากฎหมายที่อาจทำให้เยาวชนอายุเพียง 14 ปี ต้องเผชิญโทษจำคุกแบบผู้ใหญ่ในคดีอาชญากรรมร้ายแรง Credit: Fabian Mardi/unsplash

ฟังความคิดเห็นของชุมชนไทยในเมลเบิร์นเกี่ยวกับนโยบายด้านอาชญากรรม Adult time for Violent Crime ที่รัฐบาลรัฐวิกตอเรียหวังว่าจะช่วยลดอัตราอาชญกรรมในเยาวชน


รัฐวิกตอเรียเตรียมเดินหน้ากฎหมายที่อาจทำให้เยาวชนอายุเพียง 14 ปี ต้องเผชิญโทษจำคุกแบบผู้ใหญ่ในคดีอาชญากรรมร้ายแรง ซึ่งรวมถึงโทษจำคุกตลอดชีวิต ก้าวตาม รัฐควีนส์แลนด์ ที่บังคับใช้กฎหมายเข้มงวดคล้ายกันในช่วงปี 2024

การประกาศครั้งนี้ได้สร้างกระแสถกเถียงในสังคม และสะท้อนความกังวลของชุมชนไทยในเมลเบิร์นอย่างหลากหลาย มุขมนตรีรัฐวิกตอเรีย จาซินตา อัลลัน ระบุผ่านโซเชียลมีเดียว่า

“เรากำลังนำกฎหมายโทษจำคุกแบบผู้ใหญ่มาใช้สำหรับอาชญากรรมรุนแรง”

กฎหมายนี้อาจเปิดทางให้เยาวชนอายุ 14 ปีต้องโทษเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ในคดีร้ายแรง เช่น ฆาตกรรม ทำร้ายร่างกายสาหัส หรือบุกรุกบ้านพร้อมใช้ความรุนแรง

ความกังวลต่อกฎหมายนี้

เมล วอล์คเกอร์ อดีตประธานฝ่ายกฎหมายอาญาของสถาบันกฎหมายวิกตอเรีย เห็นว่ากฎหมายใหม่นี้ “เลวร้ายและไร้ประสิทธิภาพ” โดยตั้งคำถามว่า

“เราพร้อมหรือไม่ที่จะปฏิบัติกับเด็กในลักษณะนี้? และอีกกี่ปีข้างหน้า เราจะรับมือกับผลกระทบจากการที่เด็กถูกควบคุมตัวแบบผู้ใหญ่ได้จริงหรือไม่?”

เธอชี้ว่าเด็กจำนวนมากที่เข้าระบบศาลเยาวชนเคยเผชิญความรุนแรงในครอบครัว หรือโตมาแบบไม่มีระบบสนับสนุน

“เด็กจำนวนมากขาดความเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและสมองของพวกเขายังพัฒนาไม่เต็มที่พอที่จะคิดวิเคราะห์ผลลัพธ์ในระยะยาวได้” ขณะเดียวกัน ฝ่ายค้านในวิกตอเรียวิจารณ์ว่าการประกาศนี้ “เหมือนการหาพาดหัวข่าวโดยไม่มีแผนปฏิบัติที่แท้จริง”

เสียงจากชุมชนไทยในเมลเบิร์นต่อกฎหมาย Adult time for Violent Crime

เอสบีเอสไทยพาคุณไปสำรวจเสียงคนไทยในนครเมลเบิร์นเพื่อสะท้อนให้เห็นภาพที่ซับซ้อนและความเห็นที่หลากหลายกับมาตรการใหม่ดังกล่าว

ระหว่างคนที่กังวลว่าการที่รัฐมาตรการ “ลงโทษเด็กเหมือนผู้ใหญ่” เป็นการลงโทษที่เร็วและแรงเกินไป” กับคนที่มองว่าถึงเวลาต้อง “เข้มงวดจริงจัง” เพื่อสกัดปัญหาอาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้นในรัฐวิกตอเรีย

ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้โทษแบบผู้ใหญ่กับเด็กอายุเพียง 14 ปี ให้เหตุผลคล้ายกันคือ เด็กยังอยู่ในวัยเรียนรู้และควรได้รับโอกาสมากกว่าถูกปิดทางอนาคต ต้อม หนึ่งในสมาชิกชุมชนไทยในเมลเบิร์น บอกว่า
เด็กอายุ 14 ปียังอยู่ในช่วงกำลังเรียนรู้ การตัดสินโทษแบบผู้ใหญ่อาจรุนแรงไปนิดนึง ควรพิจารณาแบบรอบด้านที่สุด
ต้อม กล่าว
ขณะที่นนนา ชวนให้ลองย้อนมองชีวิตของตัวเองในวัยเดียวกัน พร้อมตั้งคำถามต่อสังคมว่ากฎหมายใหม่จะใช้ระบบยุติธรรมไปตัดสินชีวิตเด็กเร็วเกินไปหรือไม่ เธอให้ความเห็นว่า

“คนอายุ 14 จริงๆ แล้วยังไม่ประสีประสา ยังไม่ได้เรียนรู้อะไรในชีวิตมาก เพิ่งจะพ้นการเป็นเด็กมาได้ไม่นานสักเท่าไหร่ เป็นเราที่เคยอยู่เมืองไทยก็คือ ม.1-2 ถ้าเรามองย้อนกลับไป (มองตัวเอง) ตัวเราก็ยังเด็กมากอยู่”

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็มีเสียงจากคนไทยที่ “เห็นด้วย” กับการเพิ่มโทษในคดีอาชญากรรมรุนแรง เช่น เปย์มองว่าหากไม่เริ่มดำเนินการอย่างจริงจัง ปัญหาอาชญากรรมเยาวชนก็จะลากยาวต่อไป เธอกล่าวว่า

“เห็นด้วยค่ะ เพราะกฎหมายไม่มีความเด็ดขาดพอ คนทำผิดไม่เกรงกลัวในสิ่งที่ทำ เพราะถ้าไม่เริ่มจากจุดไหนเลย มันก็จะ continue มันต้องมีมาตรการที่ใช้ได้จริงและสมเหตุสมผล”

เธอเชื่อว่า การเพิ่มโทษแม้จะไม่ใช่คำตอบทั้งหมด แต่อาจช่วยให้เด็กบางคน “คิดก่อนทำผิด” โดยเฉพาะคนที่ยังพอมีสติยั้งคิดและกลัวผลลัพธ์ที่จะตามมา

การเพิ่มโทษจะช่วยลดอาชญากรรมได้จริงหรือไม่

สำหรับคำถามว่าแล้วการเพิ่มโทษจะช่วยลดอาชญากรรมได้จริงหรือไม่ มุมมองภายในชุมชนไทยก็แตกออกเป็นสองประเด็นเช่นกัน ด้านหนึ่ง มีความเชื่อว่าบทลงโทษที่หนักขึ้นอาจทำให้บางคนเกรงกลัวกฎหมาย และช่วยลดการกระทำผิดซ้ำในบางกรณี แต่อีกด้านหนึ่ง

ต้อมเตือนว่าผลลัพธ์อาจไม่ยั่งยืน เพราะปัญหาที่ผลักให้เด็กใช้ความรุนแรงมักมาจากรากลึก เช่น การเลี้ยงดูในครอบครัว ปัญหาความรุนแรงที่บ้าน ความเครียดจากเศรษฐกิจ และสภาพสังคมที่ทำให้เยาวชนรู้สึก “ไม่เป็นส่วนหนึ่ง” ของชุมชน เขาบอกว่า

“การเพิ่มโทษก็อาจจะช่วยได้บ้างในการปราบปรามไม่ให้เด็กในการกระทำความผิดซ้ำ หรือว่าอาจจะเกรงตัวต่อกฎหมาย แต่ถ้าจะยั่งยืนมั้ย ผมก็คิดว่ามันก็คงยังคงเกิดขึ้นอีก เพราะว่าเยาวชนส่วนใหญ่บางครั้งเค้าก็ มีความคิดที่แบบรุนแรงตามประสาวัยรุ่น อาจจะมาจากปัญหาหลายอย่าง เช่น ปัญหาครอบครัวหรือความกดดันจากสังคม”

แม้จะเห็นต่างเรื่องโทษจำคุกแบบผู้ใหญ่ แต่สิ่งที่ทั้งสามคนเห็นพ้องต้องกันคือ “กฎหมายอย่างเดียวไม่พอ” คนไทยในเมลเบิร์นเสนอว่ารัฐควรเดินคู่ขนานด้วยมาตรการสนับสนุนครอบครัว เพิ่มโอกาสทางการศึกษา ขยายบริการด้านสุขภาพจิตให้เข้าถึงง่ายขึ้น รวมถึงการลงทุนในกิจกรรมเยาวชน กีฬา ศิลปะ และโครงการทำงานกับชุมชนเชิงรากฐาน
ต้อมให้ความเห็นว่า

“รัฐควรมองได้ 2 ทางก็คืออย่างแรกก็คือดูแลความปลอดภัยของสังคมผ่านกฎหมายที่เหมาะสมกับเยาวชน และอีกอย่างนึงก็คือควรแก้ไขปัญหาแบบสร้างแรงผลักดันให้เด็กมีความตระหนัก รู้ถึงความรุนแรงและการก่ออาชญากรรม


“คิดว่ามาตรการที่รัฐควรให้ความสำคัญ อาจจะเป็นการสนับสนุนครอบครัว โอกาสทางการศึกษา การสนับสนุนการกีฬา และออกกฎหมายปกป้องในชุมชน”


ส่วน นนนาแนะนำว่าอาจใช้แนวทางคล้ายกับแนวคิดโครงการ “ทูบีนัมเบอร์วัน” ในประเทศไทยที่พยายามให้เด็กมีพื้นที่สร้างสรรค์และมีความฝัน ไม่ใช่ปล่อยให้ไปเสี่ยงกับวงจรอาชญากรรม

“อาจจะมีหน่วยงานอะไรที่รัฐอาจจะต้องตั้งขึ้นมา ให้มันทันเหตุการณ์ ดูว่าปัญหาของของเขาคือตรงไหนเพราะว่าเรารู้สึกว่าเราเราไม่ได้ยินตรงนั้น มันอาจจะมีก็ได้ แต่เราไม่ได้ยิน”

“อย่างที่ที่เมืองไทยเราก็จะมีแบบทูบีนัมเบอร์วันอะไรอย่างงี้ มันต้องไปลงลึก เป็นเรื่องรากหญ้า เรื่องเยาวชน มีกิจกรรม มี (ก่ารสนับสนุน) ความคิดความฝัน”

เมื่อพูดถึงคำถามใหญ่ที่คนไทยในเมลเบิร์นจำนวนไม่น้อยแอบถามกันเงียบ ๆ ว่า “เมลเบิร์นยังน่าอยู่เหมือนเดิมไหม” คำตอบก็แตกต่างกันไปตามประสบการณ์ชีวิต ต้อมมองว่าความรู้สึกปลอดภัยยังพอมี หากเราเลือกใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงน้อย

“ยังน่าอยู่ครับ ถ้าไม่กลับดึก ไม่เที่ยวกลางคืน ก็แทบไม่เจอเหตุการณ์อะไร”

แต่ในอีกมุมหนึ่ง เปย์เล่าประสบการณ์ตรงที่ทำให้รู้สึกว่าเมืองนี้ไม่น่าอยู่เท่าเดิม

“เคยเกือบโดนงัดบ้าน แจ้งตำรวจก็ไม่มา เราก็รู้สึกผวาได้ยินเสียงอะไรนิดหน่อยกลางคืนก็ตื่น
รู้สึกไม่ปลอดภัยจริง ๆ มันทำให้สุขภาพจิตเสีย มันไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่าคุณจะปลอดภัยหรือไม่
เปย์ กล่าว
ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ เฟซบุ๊ก และ Instagram

Share
Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand