อาทิตยา ทีปวัต–เอสบีเอสไทย
สภากาชาดออสเตรเลียประกาศข่าวดี ต่อจากนี้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศชาย จะสามารถบริจาคพลาสมาได้โดยไม่ต้องเว้นระยะสามเดือน และยังปรับคุณสมบัติของผู้ที่สามารถบริจาคโลหิตได้โดยมุ่งประเมินความเสี่ยงจากพฤติกรรมทางเพศของปัจเจกบุคคลแทนการระบุเพศวิถี เพื่อหยุดการจำกัดและตีตรากลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา สภากาชาดออสเตรเลียประกาศเปลี่ยนเงื่อนไขของผู้บริจาคโลหิตและพลาสมา ส่งผลให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
โดยเฉพาะผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ร่วมกับเพศชาย หรือที่เรียกว่ากลุ่ม Gay, Bisexual, and Men who have sex with men (MSM) สามารถบริจาคเลือดและพลาสมาได้ตามเงื่อนไขใหม่ตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคมเป็นต้นไป
ปัจจุบันเงื่อนไขของผู้บริจาคโลหิตในออสเตรเลียระบุว่า หากผู้บริจาคระบุว่าตนเองเป็นเกย์ ไบเซ็กชวล หรือทรานส์เจนเดอร์ (บุคคลข้ามเพศ) ที่มีเพศสัมพันธ์ร่วมกับเพศชายทางทวารหนัก และผู้ให้บริการทางเพศ (sex worker) จะไม่สามารถบริจาคเลือดได้หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงสามเดือนก่อนบริจาคเลือดหรือบริจาคพลาสมา หรือที่เรียกว่า deferral period
เงื่อนไขที่ว่านี้ตั้งขึ้นด้วยความเข้าใจที่ว่ากลุ่มคนดังกล่าวมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีสูงกว่าผู้บริจาคกลุ่มอื่นๆ
รายงานระบุว่านับตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคมเป็นต้นไป กลุ่ม MSM รวมถึงผู้ที่ใช้ยาเพร็พ (PrEP) หรือ Pre-Exposure Prophylaxis ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนมีเพศสัมพันธ์ จะสามารถบริจาคพลาสมาได้โดยไม่ต้องเว้นระยะ (deferral period) หลังจากใช้ยาครั้งสุดท้ายหากเข้าข่ายคุณสมบัติทั้งหมด
ข้อมูลจากสภากาชาดออสเตรเลียระบุว่า ปัจจุบันผู้ที่ใช้ยาเพร็พต้องทิ้งระยะนานถึง 12 เดือน หลังจากใช้ยาดังกล่าวครั้งล่าสุด จึงจะสามารถบริจาคเลือดได้ และในกรณีที่ต้องการบริจาคพลาสมา จะต้องทิ้งระยะห่างเป็นเวลาสามเดือน เงื่อนไขนี้เริ่มใช้ครั้งแรกในปี 2542 เป็นต้นมา
ผู้บริหารสูงสุดของสภากาชาดออสเตรเลีย นพ.โจ พิงค์ กล่าวว่าสภากาชาดประมาณการไว้ว่าจะมีผู้บริจาคพลาสมาเพิ่มขึ้นกว่า 24,000 คน และมีปริมาณการบริจาคพลาสมาเพิ่มอีก 95,000 ครั้งต่อปี
อ่านเพิ่มเติม

กาชาดออสเตรเลียเร่งขอรับบริจาคเลือด
ในขณะเดียวกัน สภากาชาดยังมุ่งปรับปรุงคุณสมบัติของผู้บริจาคเลือดและเกล็ดเลือดให้ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม ซึ่งองค์กรอาหารและยาแห่งออสเตรเลีย หรือ The Therapeutic Goods Administration (TGA) ได้รับข้อเสนอจากสภากาชาดออสเตรเลียเพื่อยกเลิกคุณสมบัติผู้บริจาคโลหิตที่ขึ้นอยู่กับเพศสภาพเพื่อนำมาพิจารณาต่อไป
หากข้อเสนอได้รับการอนุมัติ การคัดกรองผู้บริจาคโลหิตจะใช้คำถามที่ครอบคลุมเกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศซึ่งขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคล ไม่เหมารวมเพศวิถีหรือตีตราผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ
ผู้บริจาคที่มีความสัมพันธ์กับคู่เพียงคนเดียวเกินหกเดือนจะสามารถบริจาคเลือดได้ และผู้ที่มีความสัมพันธ์กับคู่หลายคน หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก จะต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางเพศดังกล่าวอย่างต่ำสามเดือน จึงจะสามารถบริจาคเลือดได้
ซึ่งเงื่อนไขใหม่นี้ออกแบบมาเพื่อแก้ไขคุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิตปัจจุบันที่ถ้าหากเป็นเพศชาย หรือผู้หญิงข้ามเพศ จะต้องตอบคำถามว่าพวกเขามีเพศสัมพันธ์กับเพศชายหรือผ่านทวารหนักหรือเปล่า
นพ.โจ พิงค์ยังกล่าวเพิ่มว่าการปรับแก้เงื่อนไขการคัดกรองผู้บริจาคโลหิตยังคงต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบจากรัฐบาลระดับรัฐต่างๆ แต่สภากาชาดออสเตรเลียก็คาดว่าข้อเสนอนี้จะได้รับการอนุมัติภายในปีหน้า
“ข้อเสนอของเรามีหลักฐานสนับสนุนจากข้อมูลที่ระบุว่าผู้บริจาค [กลุ่ม MSM] นั้นควรรอให้ครบหกเดือนจึงจะปลอดภัยกับคนไข้มากที่สุด แต่พวกเราก็ยังมุ่งมั่นที่จะพิจารณาระยะเวลาดังกล่าวอีกครั้งเพราะหลักฐานใหม่ๆ ก็ออกมาเรื่อยๆ” นายแพทย์โจ พิงค์อธิบาย
เขาเสริมว่าการร่นระยะงดกิจกรรมทางเพศในกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศนั้นเป็นหมุดหมายสำคัญ เพราะหลังจากนี้คนในกลุ่ม LGBTQIA+ จะสามารถบริจาคเลือดและเกล็ดเลือดได้อย่างปลอดภัย
“ภารกิจสูงสุดของเราคือการคัดกรองเลือดอย่างปลอดภัย แต่พวกเราก็ทราบดีว่ากฎการบริจาคเลือด ณ ปัจจุบันนั้นเป็นปัญหาต่อกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นอย่างมาก แม้ว่ากฎการบริจาคเลือดในอดีตจะมีไว้เพื่อรับรองความปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกันก็ตีตราคนกลุ่มดังกล่าวไม่น้อย” นายแพทย์โจ พิงค์กล่าว
เราหวังว่าหากกระบวนการปรับปรุงเงื่อนไขของผู้บริจาคโลหิตได้รับการอนุมัติ มันจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทั้งกลุ่ม LGBTQIA+ และของสภากาชาดออสเตรเลียเองนพ.โจ พิงค์
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิตของสภากาชาดไทย ยังคงเหมารวมกลุ่มชายรักชาย หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ร่วมกับเพศชายทั้งหมดว่าไม่สามารถบริจาคเลือดได้ โดยอธิบายว่าคนกลุ่มดังกล่าวมีสถิติติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าประชากรกลุ่มอื่นๆ
สถิติจากเว็บไซต์สถิติ Equaldex รายงานว่าขณะนี้ 90 ประเทศทั่วโลกอนุญาตให้กลุ่ม MSM สามารถบริจาคเลือดได้ และยังมีอีกหลายประเทศที่กลุ่ม MSM สามารถบริจาคเลือดได้โดยมีเงื่อนไขต่างๆ เช่น ต้องผ่านระยะเวลางดการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
หรืองดการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย เป็นต้น แต่ประเทศไทยยังคงไม่มีนโยบายเปิดรับกลุ่มดังกล่าวเป็นผู้บริจาคโลหิต
สภากาชาดไทยระบุไว้ในคุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิตว่า “อัตราการติดเชื้อเอชไอวีของกลุ่ม MSM สูงกว่าประชากรทั่วไปมาก และโอกาสที่จะมีผู้ที่อยู่ในระยะที่เพิ่งเริ่มติดเชื้อในร่างกายยังมีเชื้อจำนวนน้อย ไม่สามารถตรวจพบร่องรอยการติดเชื้อได้ด้วยวิธีทางห้องปฏิบัติการแต่สามารถถ่ายทอดไปยังผู้รับโลหิตได้ จึงยังเป็นข้อกำหนดไม่รับบริจาคโลหิตอย่างถาวร”
แม้ว่าสภากาชาดไทยจะมีความพยายามวิจัยความเสี่ยงต่อการถ่ายทอดเชื้อทางโลหิตบริจาคในกลุ่ม MSM ซึ่งเผยแพร่ในเดือนเมษายน 2567
แต่รายงานวิจัยกล่าวว่าจำนวนของอาสาสมัครเข้าร่วมการวิจัยมีเพียง 73 คนจากเป้าหมาย 1,250 คน จึงไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสามารถสรุปได้อย่างชัดเจนเพื่อพัฒนาเกณฑ์คัดคุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิตในกลุ่ม MSM

นพ.จักรภัทร บุญเรือง แพทย์นักวิจัย สถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI) Credit: Supplied
เปิดเผยกับเอสบีเอสไทยว่าในหลายประเทศใช้มาตรการเว้นระยะเพื่อลดการติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์ (deferral period) สามารถทำให้คนทุกเพศบริจาคเลือดหรือพลาสมาได้
“แต่ที่ไทยคนที่ระบุตัวตนว่าเป็นชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายทุกคนจะไม่สามารถบริจาคเลือดได้เลย ไม่ว่าเขาจะไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนในชีวิตนี้”
นพ.จักรภัทรอธิบายว่าการคัดกรองเลือดนั้นเริ่มตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงของผู้บริจาค เช่น มีคู่นอนกี่คน มีประวัติการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบหรือเชื้อเอชไอวีหรือไม่ เป็นต้น
หลังจากนั้นจึงส่งเลือดเข้ากระบวนการตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อหาโรคที่สามารถติดต่อทางเลือดได้ เช่น ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี เอชไอวี และซิฟิลิส
ในระยะแรกของการติดเชื้อเอชไอวีนั้นยังไม่สามารถตรวจเจอได้จากการคัดกรองในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นข้อกังวลหลักที่นพ.จักรภัทรอธิบายว่าอาจเป็นเหตุผลที่สภากาชาดไทยยังไม่อนุมัติการบริจาคเลือดจากกลุ่ม MSM
นพ.จักรภัทรเสริมว่าแม้การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีสูงกว่าการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด แต่ก็ไม่ควรเหมารวมว่ากลุ่ม MSM ทุกคนจะต้องมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพราะในหลายกรณีก็มีเพศสัมพันธ์ทางปาก หรืออาจไม่มีเพศสัมพันธ์เลย
ถามคำถามเลยว่าคุณมีเพศสัมพันธ์กับคู่กี่คน เพศสัมพันธ์ของคุณเป็นช่องทางไหน แล้วก็ประเมินความเสี่ยงตรงนี้นพ.จักรภัทร บุญเรือง
“ยกตัวอย่างเช่นถ้าเป็นเกย์แต่ว่ามีเพศสัมพันธ์แค่ออรัลเซ็กส์อย่างเดียว ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่าออรัลเซ็กส์มันไม่ติดเชื้อเอชไอวี เขาก็อาจจะมีคุณสมบัติเป็นผู้บริจาคเลือดได้ ถ้าเขาไม่มีความเสี่ยงอื่น หรือมีเพศสัมพันธ์กับคู่คนเดียว เขาก็อาจจะยังบริจาคเลือดได้ ก็คือการคัดกรองโดยยึดพฤติกรรม ไม่ใช่ยึดโดยตัวตนทางเพศ”
นพ.จักรภัทรอธิบายว่าในหลายประเทศใช้วิธีการคัดกรองโดยเน้นคำถามที่ประเมินความเสี่ยงของพฤติกรรมทางเพศ เช่นในสหรัฐอเมริกา ที่ถามผู้บริจาคเลือดทุกคนว่ามีคู่นอนกี่คนหรือมีรสนิยมทางเพศแบบไหน และใช้เกณฑ์คัดกรองนี้กับผู้บริจาคโลหิตโดยไม่แบ่งแยกตัวตนทางเพศ
ที่ผ่านมา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เคยมีข้อเสนอแนะต่อศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยในเดือนกรกฎาคม ปี 2566 ให้ปรับปรุงคุณสมบัติและเงื่อนไขการคัดกรองผู้บริจาคโลหิต
โดยมุ่งประเมินจากพฤติกรรมทางเพศของปัจเจกบุคคล และหลีกเลี่ยงการเหมารวมและเชื่อมโยงกลุ่มประชากรกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี
ข้อมูลเกี่ยวกับการบริจาคเลือดและพลาสมา หรือทำนัดบริจาคในออสเตรเลีย สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.lifeblood.com.au หรือโทร 13 14 95