งานวิจัยล่าสุดประเมินว่าพนักงานเกือบ 3 ล้านคนในออสเตรเลียมีแนวโน้มอาจลาออกจากงานในปีหน้า หลังพบภาวะหมดไฟในที่ทำงานรุนแรงขึ้น
แม้จะมีความเข้าใจเรื่องสุขภาพจิต สิทธิในการปฏิเสธการติดต่อหลังเลิกงาน (right to disconnect) และมีการทำงานจากบ้านมากขึ้นก็ตาม
แล้วปัญหาที่แท้จริงอยู่ตรงไหน?
รองศาสตราจารย์ รอส ไอลส์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยขององค์กรไม่แสวงหากำไร Superfriend ซึ่งให้การฝึกอบรมและให้ความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตแก่สถานประกอบการกล่าวว่า ในรอบสิบปีที่ผ่านมา ภาวะหมดไฟในที่ทำงานอยู่ในระดับสูงอย่างน่ากังวล
“ในอุตสาหกรรมค้าปลีก การแพทย์ และการศึกษา เราพบว่าปัญหานี้แย่ลงเรื่อย ๆ ตลอดสิบปีที่ผ่านมา แม้คนทำงานและนายจ้างจะเข้าใจเรื่องสุขภาพจิตมากขึ้น และให้คะแนนที่ทำงานของตัวเองว่ามีสภาพแวดล้อมทางจิตใจที่ดีขึ้น แต่ตัวเลขภาวะหมดไฟกลับไม่ลดลงมากนัก”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

กฎหมายใหม่อนุญาตให้พนักงานตั้งโหมด 'ห้ามรบกวน' นอกเวลางานในออสเตรเลีย
ภาวะหมดไฟในที่ทำงานเป็นอย่างไร?
ภาวะหมดไฟอาจเริ่มจากอาการรู้สึกโดดเดี่ยว หงุดหงิด เหนื่อยล้า หรือหมดแรงใจในการทำงาน บางคนรู้สึกหมดความหมายในงานที่เคยรัก และเริ่มแยกตัวออกจากทีมงาน
อาการทางกายก็เกิดขึ้นได้ เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว หรือมีปัญหาการนอนหลับ
รองศาสตราจารย์ไอลส์อธิบายว่า ความเครียดทางจิตใจเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะในสายอาชีพด้านสุขภาพ ซึ่งมีอัตราการหมดไฟสูงสุด ร่วมกับสาขาการศึกษาและค้าปลีก
“เราพบว่าความทุกข์ทางจิตใจทั่วไป ทั้งความกังวลและความเครียดเรื้อรัง ทำให้คนในสายอาชีพเหล่านี้มีแนวโน้มประสบภาวะหมดไฟมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานาน”
การสำรวจใหม่ของ Allianz Australia พบว่า พนักงาน 4 ใน 5 คนมองว่าที่ทำงานของตนไม่สามารถบังคับใช้พฤติกรรมการทำงานที่ดีต่อสุขภาพจิตได้จริง
และปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิด burnout คือภาระงานที่หนักเกินไป การประชุมถี่เกินไป และกำหนดเวลาที่ไม่สมจริง
มาร์ก พิตต์แมน ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายประกันการบาดเจ็บส่วนบุคคลของ Allianz Australia ระบุว่า การทำงานโดยไม่หยุดพักเป็นสาเหตุสำคัญที่เพิ่มความเครียดและความเสี่ยงต่อการหมดไฟ
“งานวิจัยระบุว่า พนักงานส่วนใหญ่ไม่สามารถจัดการเวลาส่วนตัวได้ ไม่ได้แบ่งภาระงานบ้านอย่างเท่าเทียม และไม่มีเครือข่ายช่วยเหลือในกิจวัตรประจำวัน เช่น การรับส่งลูกไปโรงเรียน เราแนะนำให้คนทำงานตั้งขอบเขตให้ชัดเจน พักผ่อนให้เพียงพอ และให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูร่างกาย เช่น การนอนและการออกกำลังกาย ซึ่งแม้เป็นการเปลี่ยนเล็กน้อย แต่สามารถป้องกันภาวะหมดไฟได้อย่างมีนัยสำคัญ” พิตต์แมนกล่าว

แม้ความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพจิตใจที่ทำงานจะเพิ่มขึ้น แต่พนักงานยังคงหมดไฟ Source: Getty / Getty Images
พิตต์แมนแนะนำ 3 สิ่งสำคัญที่องค์กรควรทำ เพื่อป้องกันภาวะหมดไฟ
หนึ่งคือ การฝึกอบรมผู้จัดการให้สนับสนุนสุขภาวะของพนักงานได้ดีขึ้น สองคือ ลดงานที่ไม่จำเป็น และสามคือ จัดวันลาพักฟื้นด้านสุขภาพจิตอย่างสม่ำเสมอพิตต์แมนอธิบาย

รายงานชี้ ผู้ที่ทำงานในสาขาอุตสาหกรรมค้าปลีก การแพทย์ และการศึกษา มีภาวะหมดไฟในการทำงานสูง Credit: E+
“แม้เราจะเห็นความคืบหน้าด้านสุขภาพจิตในที่ทำงานมากขึ้น แต่ยังมีพนักงานไม่ถึงครึ่งที่รู้สึกสบายใจพอที่จะพูดเรื่องสุขภาพจิตกับหัวหน้างาน ซึ่งหมายความว่าความอับอายหรือความกลัวการถูกตัดสินยังคงอยู่ สิ่งสำคัญคือการทำลายตราบาปเหล่านั้น และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานอย่างตั้งใจ ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ เพราะความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงานคือหัวใจในการป้องกันภาวะหมดไฟ”