ปัญหาการหลอกลวงเกี่ยวกับการทำวีซ่าในออสเตรเลียกำลังกลายเป็นธุรกิจมืดที่ทำเงินได้มหาศาล จากความสิ้นหวังและความไม่รู้ของผู้ที่ต้องการจะอยู่ต่อ เข้ามาทำงานหรือเรียนต่อในประเทศนี้
นักเรียนไทยคนหนึ่งที่ใช้นามแฝงว่า “มิกกี้” ก็เป็นเหยื่อรายล่าสุดที่ออกมาเปิดเผยประสบการณ์ที่ทำให้เธอฝันร้ายซ้ำซ้อน
เธอเล่าให้เอสบีเอสไทยฟังถึงจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมดว่ามันเริ่มจากการที่เธอถูกปฏิเสธวีซ่า เธอรู้สึกสิ้นหวังและหันไปขอคำแนะนำในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการยื่นอุทธรณ์
“ตอนนั้นเราก็ไปโพสต์ถามว่า มีใครโดนปฏิเสธบ้างมั้ย ยื่นอุทธรณ์ต้องทำยังไงบ้าง ก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์เยอะมาก"
"แล้วก็มีคนหนึ่งมาทักส่วนตัว บอกว่ามีเพื่อนเป็น migration agent ตัวเขาเองก็เป็นทนาย” มิกกี้เล่า
การสนทนาเริ่มต้นจากเรื่องทั่วไป กลายเป็นความสนิทสนมที่สร้างความไว้ใจ “รู้สึกเหมือนคุยกันถูกคอ เป็นฟีลพี่สาว”
เธอเล่าให้เอสบีเอสไทยฟังว่าหลังจากคุยติดต่อกันออนไลน์จนสนิทกันและได้นัดทานข้าวกันหลายครั้ง ชายคนดังกล่าวก็เริ่มพูดถึงการทำวีซ่าคู่ครอง
โดยอ้างว่าเขาเป็นพลเมืองออสเตรเลีย มีอาชีพทนายความและทำงานที่ศาลมานานกว่า 10 ปี เขาสามารถช่วยเหลือเธอให้อยู่ต่อในออสเตรเลียได้ เขาพูดว่า
ฉันอยากช่วยเธอ เพราะเธอเหลือเวลาไม่มากแล้ว ฉันเหลืออยู่ 2 spots หลังจากที่ยื่นเรื่องแต่งงานเรียบร้อย เธอจะได้หางานดีๆ ได้มิกกี้ เล่า
มิกกี้เล่าย้อนถึงช่วงที่เธอเริ่มหลงเชื่อคำพูดของคนที่เธอคิดว่าเป็นเพื่อนใหม่
นอกจากนี้ เขายังสัญญาว่าจะเสนองานเต็มเวลาที่ศาลในตำแหน่งรีเซฟชั่น และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้มิกกี้สนใจมากเพราะมันหมายถึงอนาคตที่เธอฝันไว้อาจกลายเป็นจริง
“เราไม่ได้สนใจเรื่องพีอาร์ แต่สนใจที่งาน (ที่เขาเสนอว่าจะช่วย) เพราะมันจะทำให้เรามี connection และสามารถไปถึงงานที่เราอยากได้ในอนาคตง่ายกว่าการไต่เต้าจากการเป็นนักเรียนที่อายุมากแล้ว”
เขาสำทับให้เธอไว้ใจมากขึ้น โดยบอกว่า ไหนๆ ก็จะไปจดทะเบียนแล้ว และเขาจะเสนองานให้เธออาทิตย์หน้า
เธอก็สามารถลาออกจากงานเดิมได้เลย และด้วยความไว้ใจ มิกกี้ยอมลาออกจากงานเดิมโดยไม่ได้ตรวจสอบเอกสารหรือหลักฐานใด ๆ
“เรารู้สึกว่ามีคนๆ นึงทําให้เรารู้สึกดีและไว้ใจกันได้แชร์กันได้ทุกเรื่อง เค้าก็บอกว่าอีกวันนึงก็จะไปเซ็นสัญญา (แต่งงาน) แล้ว แกก็ออกจากงานเลยก็ได้ แล้วเราก็ลาออกจากงานโดยที่เราก็ไม่ได้เช็คอะไรเลยเหมือนกัน”
วีซ่าแต่งงาน...กับฝันของอนาคต
ชายคนดังกล่าวอ้างว่าในกระบวนการขอวีซ่าแต่งงานนั้นเขาจะช่วยออกเงินครึ่งหนึ่ง แต่มิกกี้ต้องสปอนเซอร์ตัวเองครึ่งหนึ่งด้วยการแสดงหลักฐานทางการเงินประมาณ 31,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย
เธอรู้สึกมีความหวังกับอนาคตสดใสที่รออยู่ เธอจึงรีบติดต่อครอบครัวของเธอในไทยจึงโอนเงินมาให้ เพื่อใช้เป็นหนังสือค้ำประกันจากธนาคาร (bank guarantee)
“เราก็โทรไปขอเงินพ่อ ซึ่งเขาคิดว่าจะใช้เพื่อโชว์เฉยๆ พอได้เงินแล้วเราก็ไปแลกเงินไทยเป็นดอลลาร์ออสเตรเลียเพื่อจะมาใส่ในบัญชีเรา แล้ววันนั้นเขาไปด้วย แล้วเขาก็บอกให้เอาใส่กระเป๋าเขา บอกว่าปลอดภัยกว่า”
ตอนนั้น...ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงเชื่อเขาขนาดนั้นมิกกี้ กล่าว
ขณะรับประทานอาหารร่วมกัน เขาอ้างว่าจะไปซื้อกาแฟ แต่หายไปนาน จนมิกกี้รู้สึกเอะใจ จึงโทรตาม แต่ติดต่อไม่ได้ และเมื่อส่งข้อความไป โทรศัพท์เครื่องนี้ก็ถูกปิด เธอจึงรู้ตัวว่า
“ตอนนั้นเรารู้แล้วว่า...เขาหายไปพร้อมเงินทั้งหมดในกระเป๋า” มิกกี้กล่าว
พอรู้ตัว มิกกี้รีบไปแจ้งความกับตำรวจ แต่จนถึงวันนี้ยังไม่ได้รับการติดตามคดี เธอจึงพยายามหาหลักฐานเองจากร้านแลกเงินและร้านค้าใกล้เคียง และได้ภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกใบหน้าของชายคนดังกล่าว
จากนั้นเธอโพสต์เรื่องราวในโซเชียลและพบว่ามีผู้เสียหายรายอื่น ๆ อีกมากมายที่ถูกหลอกจากชายคนดังกล่าวหลายลักษณะ
ทั้งการจ้างแต่งงานและการหลอกลวงแบบอื่นๆ ในหลายรัฐ รวมมูลค่าความเสียหายรวมกันกว่าหนึ่งแสนดอลลาร์ออสเตรเลีย
มุมมองผู้เชี่ยวชาญ
ศาสตราจารย์ มารี ซีเกรฟ ผู้เชี่ยวชาญด้านการย้ายถิ่นและการคุ้มครองผู้หญิงจาก School of Social and Political Sciences มหาวิทยาลัย เมลเบิร์นอธิบายให้เอสบีเอสไทยฟังว่า
การหลอกลวงลักษณะนี้ “ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะค่าใช้จ่ายและความยากลำบากในการได้วีซ่าในออสเตรเลียทำให้หลายคนเสี่ยงเชื่อคำพูดของคนที่อ้างว่าช่วยได้”
ออสเตรเลียถูกมองว่าเป็น “ตลาดใหญ่” สำหรับสแกมวีซ่า เนื่องจากระบบตรวจคนเข้าเมืองที่ซับซ้อนและค่าธรรมเนียมสูง
โดยเฉพาะสำหรับบางสัญชาติ ศ.ซีเกรฟกล่าวว่า “ผู้ที่เพิ่งถูกปฏิเสธวีซ่า หรือกำลังหาทางอยู่ต่ออย่างสิ้นหวัง เป็นกลุ่มที่อ่อนไหวที่สุด เพราะพวกเขามองหาทางออกทุกทาง แม้จะเป็นทางลัดที่เสี่ยง”

ศาสตราจารย์ มารี ซีเกรฟ จาก School of Social and Political Sciences มหาวิทยาลัย เมลเบิร์น Credit: Supplied/Professor Marie Segrave
ช่องโหว่ในการกำกับดูแล
อีกประเด็นที่น่ากังวลคือการกำกับดูแล เอเจนท์ให้คำปรึกษาด้านการย้ายถิ่น ที่ยังไม่เข้มงวดมากพอ “แม้จะมีเอเจนท์ที่ทำงานอย่างมืออาชีพและช่วยเหลือได้จริง
แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ทำงานไม่โปร่งใส ใช้ช่องโหว่ของระบบสร้างความเสียหายให้กับลูกค้า” เธอกล่าว พร้อมย้ำว่าจำเป็นต้องมี มาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวดและเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ศ.ซีเกรฟเสนอว่า การแก้ปัญหาควรเริ่มจาก การสื่อสารกับผู้ยื่นขอวีซ่า อย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะผู้ที่ถูกปฏิเสธ
“แทนที่จะปล่อยให้คนเหล่านี้หาทางด้วยตัวเอง" ควรมีระบบที่อธิบายชัดเจนว่า ทางเลือกที่ถูกต้องคืออะไร และต้องระวังใครที่อ้างว่าจะทำให้ได้วีซ่าง่ายขึ้น”
การทำให้ผู้คนกล้าที่จะตั้งคำถามกับข้อเสนอที่ฟังดูดีเกินจริง เป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดศาสตราจารย์ ซีเกรฟ ย้ำ
แม้การเยียวยาจะสำคัญ แต่ปัญหาคือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมัก ไม่กล้าแจ้งความหรือให้ข้อมูล เพราะกลัวกระทบโอกาสได้อยู่ต่ออย่างถาวรในออสเตรเลีย
“นี่คือเหตุผลว่าทำไมผู้ก่อเหตุจำนวนมากไม่ถูกลงโทษหรือเอาผิดอย่างจริงจัง” ศ.ซีเกรฟกล่าว
ความสูญเสียและบทเรียน
“จริง ๆ ก็อยากได้เงินคืน อย่างน้อยบางส่วนก็ยังดี เพราะเราเปิดใจกับเขาร้อยเปอร์เซ็นต์… แต่สิ่งที่สำคัญคืออยากให้เขาถูกลงโทษ เพราะมันไม่ใช่แค่หนูที่เดือดร้อน แต่มีอีกหลายคน”
มิกกี้ยอมรับว่า หากย้อนเวลากลับไปได้ สิ่งที่อยากทำต่างออกไปคือการตรวจสอบและมีสติรอบคอบกว่านี้
“พอเราอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่มีเพื่อนมาก พอมีใครสักคนเข้ามาทำให้รู้สึกว่าเข้าใจเรา เราก็หลงเชื่อได้ง่าย”
เหตุการณ์ของมิกกี้ไม่ใช่กรณีแรก และอาจไม่ใช่กรณีสุดท้าย เธอฝากข้อคิดไว้กับคนอื่น ๆ ในชุมชนไทยในออสเตรเลียว่า
“ถ้าเรื่องเกี่ยวกับวีซ่า ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจสอบได้จริง ๆ อย่าเชื่อใครง่าย ๆ ต่อให้เขาจะดูน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม”
หมายเหตุ: ผู้ที่ต้องการตรวจสอบรายชื่อเอเจนท์ที่ได้รับอนุญาต สามารถค้นหาข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ของ Migration Agents Registration Authority (MARA) เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงลักษณะนี้
หากตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง สามารถแจ้ง Crime Stoppers (โทร 1800 333 000)
ผู้เสียหายสามารถประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของตำรวจกลางออสเตรเลีย Australian Federal Police (AFP) ประจำรัฐนั้นๆ ได้เช่นกัน
ฟังรายงานเรื่องนี้ที่นี่: