จากความฝันอยากอยู่ออสเตรเลีย…สู่หลุมพรางวีซ่าพาร์ทเนอร์

scammm.jpg

ออสเตรเลียถูกมองว่าเป็น “ตลาดใหญ่” สำหรับสแกมวีซ่า เนื่องจากระบบตรวจคนเข้าเมืองที่ซับซ้อนและค่าธรรมเนียมสูง Credit: SBS Thai

นักเรียนไทยในออสเตรเลียเผยประสบการณ์ตกเป็นเหยื่อ “การจ้างแต่งงาน” จนสูญเงินหลายหมื่นดอลลาร์จากกลโกงที่อ้างช่วยทำวีซ่าและการหางาน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ช่องโหว่ระบบตรวจคนเข้าเมืองทำให้มิจฉาชีพหาผลประโยชน์จากผู้ที่สิ้นหวังหลังถูกปฏิเสธวีซ่า


ปัญหาการหลอกลวงเกี่ยวกับการทำวีซ่าในออสเตรเลียกำลังกลายเป็นธุรกิจมืดที่ทำเงินได้มหาศาล จากความสิ้นหวังและความไม่รู้ของผู้ที่ต้องการจะอยู่ต่อ เข้ามาทำงานหรือเรียนต่อในประเทศนี้

นักเรียนไทยคนหนึ่งที่ใช้นามแฝงว่า “มิกกี้” ก็เป็นเหยื่อรายล่าสุดที่ออกมาเปิดเผยประสบการณ์ที่ทำให้เธอฝันร้ายซ้ำซ้อน

เธอเล่าให้เอสบีเอสไทยฟังถึงจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมดว่ามันเริ่มจากการที่เธอถูกปฏิเสธวีซ่า เธอรู้สึกสิ้นหวังและหันไปขอคำแนะนำในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการยื่นอุทธรณ์

“ตอนนั้นเราก็ไปโพสต์ถามว่า มีใครโดนปฏิเสธบ้างมั้ย ยื่นอุทธรณ์ต้องทำยังไงบ้าง ก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์เยอะมาก"

"แล้วก็มีคนหนึ่งมาทักส่วนตัว บอกว่ามีเพื่อนเป็น migration agent ตัวเขาเองก็เป็นทนาย” มิกกี้เล่า

การสนทนาเริ่มต้นจากเรื่องทั่วไป กลายเป็นความสนิทสนมที่สร้างความไว้ใจ “รู้สึกเหมือนคุยกันถูกคอ เป็นฟีลพี่สาว”

เธอเล่าให้เอสบีเอสไทยฟังว่าหลังจากคุยติดต่อกันออนไลน์จนสนิทกันและได้นัดทานข้าวกันหลายครั้ง ชายคนดังกล่าวก็เริ่มพูดถึงการทำวีซ่าคู่ครอง

โดยอ้างว่าเขาเป็นพลเมืองออสเตรเลีย มีอาชีพทนายความและทำงานที่ศาลมานานกว่า 10 ปี เขาสามารถช่วยเหลือเธอให้อยู่ต่อในออสเตรเลียได้ เขาพูดว่า
ฉันอยากช่วยเธอ เพราะเธอเหลือเวลาไม่มากแล้ว ฉันเหลืออยู่ 2 spots หลังจากที่ยื่นเรื่องแต่งงานเรียบร้อย เธอจะได้หางานดีๆ ได้
มิกกี้ เล่า
มิกกี้เล่าย้อนถึงช่วงที่เธอเริ่มหลงเชื่อคำพูดของคนที่เธอคิดว่าเป็นเพื่อนใหม่

นอกจากนี้ เขายังสัญญาว่าจะเสนองานเต็มเวลาที่ศาลในตำแหน่งรีเซฟชั่น และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้มิกกี้สนใจมากเพราะมันหมายถึงอนาคตที่เธอฝันไว้อาจกลายเป็นจริง

“เราไม่ได้สนใจเรื่องพีอาร์ แต่สนใจที่งาน (ที่เขาเสนอว่าจะช่วย) เพราะมันจะทำให้เรามี connection และสามารถไปถึงงานที่เราอยากได้ในอนาคตง่ายกว่าการไต่เต้าจากการเป็นนักเรียนที่อายุมากแล้ว”

เขาสำทับให้เธอไว้ใจมากขึ้น โดยบอกว่า ไหนๆ ก็จะไปจดทะเบียนแล้ว และเขาจะเสนองานให้เธออาทิตย์หน้า

เธอก็สามารถลาออกจากงานเดิมได้เลย และด้วยความไว้ใจ มิกกี้ยอมลาออกจากงานเดิมโดยไม่ได้ตรวจสอบเอกสารหรือหลักฐานใด ๆ

“เรารู้สึกว่ามีคนๆ นึงทําให้เรารู้สึกดีและไว้ใจกันได้แชร์กันได้ทุกเรื่อง เค้าก็บอกว่าอีกวันนึงก็จะไปเซ็นสัญญา (แต่งงาน) แล้ว แกก็ออกจากงานเลยก็ได้ แล้วเราก็ลาออกจากงานโดยที่เราก็ไม่ได้เช็คอะไรเลยเหมือนกัน”

วีซ่าแต่งงาน...กับฝันของอนาคต

ชายคนดังกล่าวอ้างว่าในกระบวนการขอวีซ่าแต่งงานนั้นเขาจะช่วยออกเงินครึ่งหนึ่ง แต่มิกกี้ต้องสปอนเซอร์ตัวเองครึ่งหนึ่งด้วยการแสดงหลักฐานทางการเงินประมาณ 31,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย

เธอรู้สึกมีความหวังกับอนาคตสดใสที่รออยู่ เธอจึงรีบติดต่อครอบครัวของเธอในไทยจึงโอนเงินมาให้ เพื่อใช้เป็นหนังสือค้ำประกันจากธนาคาร (bank guarantee)

“เราก็โทรไปขอเงินพ่อ ซึ่งเขาคิดว่าจะใช้เพื่อโชว์เฉยๆ พอได้เงินแล้วเราก็ไปแลกเงินไทยเป็นดอลลาร์ออสเตรเลียเพื่อจะมาใส่ในบัญชีเรา แล้ววันนั้นเขาไปด้วย แล้วเขาก็บอกให้เอาใส่กระเป๋าเขา บอกว่าปลอดภัยกว่า”
ตอนนั้น...ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงเชื่อเขาขนาดนั้น
มิกกี้ กล่าว
ขณะรับประทานอาหารร่วมกัน เขาอ้างว่าจะไปซื้อกาแฟ แต่หายไปนาน จนมิกกี้รู้สึกเอะใจ จึงโทรตาม แต่ติดต่อไม่ได้ และเมื่อส่งข้อความไป โทรศัพท์เครื่องนี้ก็ถูกปิด เธอจึงรู้ตัวว่า

“ตอนนั้นเรารู้แล้วว่า...เขาหายไปพร้อมเงินทั้งหมดในกระเป๋า” มิกกี้กล่าว

พอรู้ตัว มิกกี้รีบไปแจ้งความกับตำรวจ แต่จนถึงวันนี้ยังไม่ได้รับการติดตามคดี เธอจึงพยายามหาหลักฐานเองจากร้านแลกเงินและร้านค้าใกล้เคียง และได้ภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกใบหน้าของชายคนดังกล่าว

จากนั้นเธอโพสต์เรื่องราวในโซเชียลและพบว่ามีผู้เสียหายรายอื่น ๆ อีกมากมายที่ถูกหลอกจากชายคนดังกล่าวหลายลักษณะ

ทั้งการจ้างแต่งงานและการหลอกลวงแบบอื่นๆ ในหลายรัฐ รวมมูลค่าความเสียหายรวมกันกว่าหนึ่งแสนดอลลาร์ออสเตรเลีย

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ

ศาสตราจารย์ มารี ซีเกรฟ ผู้เชี่ยวชาญด้านการย้ายถิ่นและการคุ้มครองผู้หญิงจาก School of Social and Political Sciences มหาวิทยาลัย เมลเบิร์นอธิบายให้เอสบีเอสไทยฟังว่า

การหลอกลวงลักษณะนี้ “ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะค่าใช้จ่ายและความยากลำบากในการได้วีซ่าในออสเตรเลียทำให้หลายคนเสี่ยงเชื่อคำพูดของคนที่อ้างว่าช่วยได้”

ออสเตรเลียถูกมองว่าเป็น “ตลาดใหญ่” สำหรับสแกมวีซ่า เนื่องจากระบบตรวจคนเข้าเมืองที่ซับซ้อนและค่าธรรมเนียมสูง

โดยเฉพาะสำหรับบางสัญชาติ ศ.ซีเกรฟกล่าวว่า “ผู้ที่เพิ่งถูกปฏิเสธวีซ่า หรือกำลังหาทางอยู่ต่ออย่างสิ้นหวัง เป็นกลุ่มที่อ่อนไหวที่สุด เพราะพวกเขามองหาทางออกทุกทาง แม้จะเป็นทางลัดที่เสี่ยง”

Prof. Marie 2 edited.jpg
ศาสตราจารย์ มารี ซีเกรฟ จาก School of Social and Political Sciences มหาวิทยาลัย เมลเบิร์น Credit: Supplied/Professor Marie Segrave

ช่องโหว่ในการกำกับดูแล

อีกประเด็นที่น่ากังวลคือการกำกับดูแล เอเจนท์ให้คำปรึกษาด้านการย้ายถิ่น ที่ยังไม่เข้มงวดมากพอ “แม้จะมีเอเจนท์ที่ทำงานอย่างมืออาชีพและช่วยเหลือได้จริง

แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ทำงานไม่โปร่งใส ใช้ช่องโหว่ของระบบสร้างความเสียหายให้กับลูกค้า” เธอกล่าว พร้อมย้ำว่าจำเป็นต้องมี มาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวดและเป็นรูปธรรมมากขึ้น

ศ.ซีเกรฟเสนอว่า การแก้ปัญหาควรเริ่มจาก การสื่อสารกับผู้ยื่นขอวีซ่า อย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะผู้ที่ถูกปฏิเสธ

“แทนที่จะปล่อยให้คนเหล่านี้หาทางด้วยตัวเอง" ควรมีระบบที่อธิบายชัดเจนว่า ทางเลือกที่ถูกต้องคืออะไร และต้องระวังใครที่อ้างว่าจะทำให้ได้วีซ่าง่ายขึ้น”
การทำให้ผู้คนกล้าที่จะตั้งคำถามกับข้อเสนอที่ฟังดูดีเกินจริง เป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
ศาสตราจารย์ ซีเกรฟ ย้ำ
แม้การเยียวยาจะสำคัญ แต่ปัญหาคือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมัก ไม่กล้าแจ้งความหรือให้ข้อมูล เพราะกลัวกระทบโอกาสได้อยู่ต่ออย่างถาวรในออสเตรเลีย

“นี่คือเหตุผลว่าทำไมผู้ก่อเหตุจำนวนมากไม่ถูกลงโทษหรือเอาผิดอย่างจริงจัง” ศ.ซีเกรฟกล่าว

ความสูญเสียและบทเรียน

“จริง ๆ ก็อยากได้เงินคืน อย่างน้อยบางส่วนก็ยังดี เพราะเราเปิดใจกับเขาร้อยเปอร์เซ็นต์… แต่สิ่งที่สำคัญคืออยากให้เขาถูกลงโทษ เพราะมันไม่ใช่แค่หนูที่เดือดร้อน แต่มีอีกหลายคน”

มิกกี้ยอมรับว่า หากย้อนเวลากลับไปได้ สิ่งที่อยากทำต่างออกไปคือการตรวจสอบและมีสติรอบคอบกว่านี้

“พอเราอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่มีเพื่อนมาก พอมีใครสักคนเข้ามาทำให้รู้สึกว่าเข้าใจเรา เราก็หลงเชื่อได้ง่าย”

เหตุการณ์ของมิกกี้ไม่ใช่กรณีแรก และอาจไม่ใช่กรณีสุดท้าย เธอฝากข้อคิดไว้กับคนอื่น ๆ ในชุมชนไทยในออสเตรเลียว่า

“ถ้าเรื่องเกี่ยวกับวีซ่า ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจสอบได้จริง ๆ อย่าเชื่อใครง่าย ๆ ต่อให้เขาจะดูน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม”

หมายเหตุ: ผู้ที่ต้องการตรวจสอบรายชื่อเอเจนท์ที่ได้รับอนุญาต สามารถค้นหาข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ของ Migration Agents Registration Authority (MARA) เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงลักษณะนี้

หากตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง สามารถแจ้ง Crime Stoppers (โทร 1800 333 000)

หรือ รายงานที่ www.scamwatch.gov.au หรือเว็บไซต์ของตำรวจรัฐที่ตนพำนักอยู่

ผู้เสียหายสามารถประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของตำรวจกลางออสเตรเลีย Australian Federal Police (AFP) ประจำรัฐนั้นๆ ได้เช่นกัน

ฟังรายงานเรื่องนี้ที่นี่:

ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram

Share

Recommended for you

Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand
จากความฝันอยากอยู่ออสเตรเลีย…สู่หลุมพรางวีซ่าพาร์ทเนอร์ | SBS Thai