การบังคับแต่งงานคืออะไร? รู้สิทธิและช่องทางช่วยเหลือในออสเตรเลีย

Bride praying in the attic

การบังคับแต่งงานมักกระทบหญิงวัยรุ่น โดยเฉพาะวัยรุ่นช่วงอายุ 14-18 ปี Source: Moment RF / kuroaya/Getty Images

การบังคับแต่งงานเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไม่ได้ยินยอม มักเกิดจากการข่มขู่ การบังคับ การหลอกลวง หรือในกรณีที่ผู้แต่งงานมีอายุต่ำกว่า 16 ปี หรือมีภาวะไร้ความสามารถในการตัดสินใจ ความแตกต่างระหว่าง “การแต่งงานแบบคลุมถุงชน” กับ “การบังคับแต่งงาน” คืออะไร? และหากคุณหรือคนใกล้ตัวเสี่ยงจะเผชิญเรื่องนี้ จะสามารถขอความช่วยเหลือจากที่ใดได้บ้าง? เรามีคำตอบ


ประเด็นสำคัญ
  • ความแตกต่างระหว่างการแต่งงานแบบคลุมถุงชนและการบังคับแต่งงานคือความยินยอม
  • การบังคับแต่งงานถือเป็นอาชญากรรม ภายใต้พระราชบัญญัติแก้ไขมาตรากฎหมายอาชญากรรม ปี 2013
  • การบังคับแต่งงานสามารถส่งผลกระทบต่อทุกคน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้หญิงหรือผู้ชาย ภูมิหลังทางวัฒนธรรมหรือศาสนา
คำเตือน: เนื้อหาตอนนี้มีการพูดถึงการบังคับแต่งงาน ซึ่งอาจกระทบจิตใจ

หากคุณรู้สึกว่าถูกกดดันให้แต่งงานกับใครบางคนโดยที่คุณไม่เต็มใจ สามารถขอความช่วยเหลือได้ โดยข้อมูลจะถูกเก็บเป็นความลับ

ในบางวัฒนธรรม การแต่งงานแบบคลุมถุงชนเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตามความแตกต่างระหว่างการบังคับแต่งงาน (forced marriage) และการแต่งงานแบบคลุมถุงชน (arranged marriage) คือ “การยินยอม”
 
ในการแต่งงานแบบคลุมถุงชน ทั้งสองฝ่ายยินยอม รวมถึงครอบครัวที่มีส่วนร่วมด้วย

แต่ในการบังคับแต่งงาน หนึ่งฝ่ายหรือทั้งสองฝ่ายไม่ได้ยินยอม อาจเกิดจากการข่มขู่ บังคับ หลอกลวง หรือผู้เข้าพิธีอาจมีอายุต่ำกว่า 16 ปี หรือมีภาวะไร้ความสามารถในการตัดสินใจ

คุดซายี นฮาตารีกวา ที่ปรึกษาโครงการช่วยเหลือการย้ายถิ่นแห่งกาชาดออสเตรเลีย (Red Cross’s Migration Support Programs A dvisor) อธิบายว่า หากมีการบังคับ ขู่เข็ญ กดดัน หรือหลอกลวงใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง การแต่งงานนั้นไม่ถือว่าเป็นการแต่งงานแบบคลุมถุงชนอีกต่อไป

“มันกลายเป็นการบังคับแต่งงานทันที หลายครั้งผู้คนสับสน แม้แต่ผู้ที่เผชิญกับการบังคับแต่งงานเองก็อาจเข้าใจผิดว่าเป็นการแต่งงานแบบคลุมถุงชน”
เธอเสริมว่า การบังคับแต่งงานสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้หญิงหรือผู้ชาย จากหลากหลายภูมิหลังทางวัฒนธรรมหรือศาสนา
การบังคับแต่งงานนับเป็นปัญหาระดับโลก และถือเป็นปัญหาด้านมนุษยธรรมในออสเตรเลียเช่นกัน ที่นี่ถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการเป็นทาสยุคใหม่ (modern slavery) และไม่จำกัดอยู่ที่กลุ่มวัฒนธรรมหรือศาสนา ชาติพันธุ์ สัญชาติ อายุ หรือเพศใด ๆ มันสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ และเกิดได้กับทุกวัฒนธรรม
นฮาตารีกวากล่าว
การบังคับแต่งงานมักส่งผลกระทบต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิง โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงในวัยเรียนอายุระหว่าง 14–18 ปี

และมีหลายเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและสถานการณ์

“การบังคับแต่งงานสามารถเกิดขึ้นเพื่อสนองความคาดหวังของครอบครัวหรือชุมชน เพื่อรักษาบทบาททางเพศดั้งเดิม หรือเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน ในบางครั้งก็เพื่อสืบทอดประเพณี สิ่งที่เราเห็นคือพ่อแม่หรือผู้ที่จัดให้แต่งงานแบบบังคับมักเชื่อว่าตนกำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก แม้มันจะสร้างความเสียหายก็ตาม พวกเขาเชื่อว่าหน้าที่ของตนคือเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูก”
SAKINA MUHAMMAD JAN COURT
ซากินา มูฮัมหมัด จาน เดินทางมาถึงศาลมณฑลรัฐวิกตอเรียเพื่อรับฟังคำพิพากษา และจานถูกตัดสินโทษฐานบังคับให้ลูกสาวแต่งงานกับชายคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้ปลิดชีวิตลูกสาวของเธอ Source: AAP / DIEGO FEDELE/AAPIMAGE
ฮานา อัสซาฟิรี นักเคลื่อนไหวทางสังคมและนักสตรีนิยมในเมลเบิร์น

ในปี 2017 เธอได้รับการยกย่องให้เป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเสริมพลังสตรี โดย Victorian Honour Roll of Women และในปี 2019 เธอได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์ Order of Australia Medal (OAM)

เธอออกหนังสือเล่มแรกในปี 2024 ชื่อ Hana: The Audacity to be Free ซึ่งเล่าเรื่องวัยเด็กในเลบานอนที่เผชิญสงคราม และชีวิตในออสเตรเลีย การหนีจากการแต่งงานที่เธอไม่ได้เลือก และการสร้างชีวิตใหม่ของเธอเมื่ออายุ 20 ปี

“ตอนนั้นฉันยังเด็กมากและอยู่ในออสเตรเลีย และแม้ว่าการแต่งงานของฉันจะไม่ใช่การถูกบังคับโดยตรง แต่มันก็รู้สึกเหมือนเป็นตัวเลือกเดียวที่ฉันมี แล้วสิ่งนั้นจะเรียกว่าการบังคับหรือไม่? หรือมันคือผลจากข้อกำหนดมากมายที่ถูกตั้งขึ้น? ที่ทำให้ฉันตอนอายุ 15 ปี เชื่อว่าการแต่งงานคือหนทางสู่เสรีภาพ ศักดิ์ศรี ความเคารพ และการหนีจากอันตราย สิ่งเหล่านี้คือเงื่อนไขที่ทำให้การแต่งงานที่จัดขึ้นกลายเป็นตัวเลือกของฉัน”

ในออสเตรเลีย การบังคับแต่งงานไม่ใช่เรื่องภายในครอบครัว แต่ถือเป็นอาชญากรรม

การบังคับแต่งงานในออสเตรเลียถือเป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายของรัฐบาลสหพันธรัฐ ตั้งแต่ปี 2023

ปานอส มาซูริส  ผู้อำนวยการฝ่ายบริการตรวจคนเข้าเมืองและโครงการการบังคับแต่งงานที่ Life without Barriers อธิบายเรื่องนี้ว่า

“ในเชิงกฎหมาย การบังคับแต่งงานถือเป็นอาชญากรรมภายใต้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมมาตรากฎหมายอาญา (Crimes Legislation Amendment Act) ปี 2013 กฎหมายนี้บังคับใช้กับการบังคับแต่งงานที่เกิดขึ้นในออสเตรเลีย หรือกรณีที่มีการพาบุคคลไปต่างประเทศ ในฐานะที่เป็นความผิดระดับสหพันธรัฐ กรมตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลีย (Australia Federal Police) มีหน้าที่สืบสวนคดีเหล่านี้ และความผิดนี้มีผลกับการแต่งงานที่มีการจดทะเบียน การประกอบพิธีกรรมทางวัฒนธรรม ศาสนา และความสัมพันธ์ที่จดทะเบียนด้วย”
Close up of decisive woman take off wedding ring make decision breaking up with husband
ตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลียได้รับรายงานการบังคับแต่งงาน 91 กรณี ระหว่างปี 2023-2024 ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของคดีค้ามนุษย์ทั้งหมด Source: iStockphoto / dragana991/Getty Images/iStockphoto
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกบังคับแต่งงาน สามารถขอความช่วยเหลือได้หลายช่องทาง

“หากผู้ใดตกอยู่ในอันตรายและต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน หรือกังวลว่ามีผู้อื่นกำลังเผชิญเรื่องนี้อยู่ สามารถโทรหมายเลขฉุกเฉิน 000 ทันที หรือสามารถติดต่อสำนักงานตำรวจกลาง หรือรายงานออนไลน์ได้เช่นกัน"

สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกจะแจ้งตำรวจ ยังมีความช่วยเหลือจาก Salvation Army อีก

นฮาตารีกวาอธิบายว่า ความช่วยเหลือจะขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์ของแต่ละบุคคล

ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อ Salvation Army ได้ที่ 1800 000 277 หรือทางเว็บไซต์

ตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 ออสเตรเลียได้เปิดตัวโครงการช่วยเหลือผู้ถูกบังคับแต่งงาน (Forced Marriage Specialist Support Program หรือFMSSP) โครงการที่ให้การป้องกันและการแทรกแซงตั้งแต่ระยะแรก ผู้ที่ต้องการสามารถติดต่อด้วยตนเองที่ 1800 403 213 หรือทางเว็บไซต์

นฮาตารีกวาเสริมว่า กาชาดยังให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับแต่งงานอีกด้วย

“หากคุณกังวลเกี่ยวกับเพื่อน สมาชิกครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือใครก็ตามที่อาจมีความเสี่ยงต่อการบังคับแต่งงาน และต้องการคำแนะนำที่เป็นความลับเกี่ยวกับวิธีขอความช่วยเหลือ คุณสามารถติดต่อสภากาชาดที่หมายเลข 1800 113 015 หรือส่งอีเมลไปที่ national_stpp@redcross.org.au
Syrian Refugees' Young Brides
ในบางวัฒนธรรม การแต่งงานแบบคลุมถุงชนถือเป็นเรื่องปกติ ความแตกต่างที่สำคัญจากการแต่งงานแบบบังคับคือความยินยอม Credit: Lynsey Addario/Getty Images
เธอยังกล่าวถึง My Blue Sky บริการให้ข้อมูล คำแนะนำด้านกฎหมายและการย้ายถิ่นแก่ผู้ที่มีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบในออสเตรเลีย

“My Blue Sky ดำเนินการโดยองค์กรต่อต้านการตกเป็นทาสในออสเตรเลีย (Anti-Slavery Australia) บริการนี้ฟรีและเป็นความลับ ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าเว็บไซต์ ติดต่อทางโทรศัพท์ อีเมล หรือข้อความได้”

นฮาตารีกวาเน้นย้ำว่า บุคลากรด่านหน้าและชุมชนควรเข้าใจบริบทของการบังคับแต่งงาน เพื่อระบุความเสี่ยงและรับมือได้อย่างปลอดภัย

“เหตุผลที่ฉันพูดเช่นนี้คือ หลายครั้งที่กาชาดได้รับสายโทรศัพท์จากเพื่อน สมาชิกชุมชน พยาบาล แพทย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่กังวล และพวกเขาต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีรับมือเรื่องนี้อย่างเหมาะสม
ในความพยายามต่อต้านการค้ามนุษย์ ศูนย์ต่อต้านการแสวงประโยชน์ในเด็กแห่งออสเตรเลีย (The Australian Centre to Counter Child Exploitation หรือ ACCCE)ภายใต้การนำของกรมตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลียเรียกร้องให้โรงเรียนเฝ้าระวังสัญญาณของการบังคับแต่งงาน เนื่องจากนี่เป็นความผิดค้ามนุษย์ที่มีรายงานมากที่สุดในออสเตรเลีย

เฮเลน ชไนเดอร์ ผู้บัญชาการฝ่ายการแสวงประโยชน์มนุษย์ของกรมตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลียอธิบายสัญญาณที่อาจบ่งบอกถึงผู้ที่ตกอยู่ในความเสี่ยงในคำแถลงการณ์ดังนี้
สัญญาณทั่วไปของการบังคับแต่งงาน ได้แก่ ประวัติครอบครัวที่พี่น้องลาออกจากโรงเรียนเร็วหรือแต่งงานเร็ว แสดงความกังวลเกี่ยวกับการแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ครอบครัวหรือชุมชนที่ควบคุมเข้มงวดในบ้านและนอกบ้าน การถูกจำกัดหรือถูกตรวจสอบการสื่อสาร การแสดงความกังวลเกี่ยวกับการเดินทางหรือการเดินทางไปต่างประเทศที่ใกล้จะมาถึง ความกลัวผลลัพธ์จากการไม่แต่งงานตามที่กำหนด หรือการกลัวว่าจะถูกทำร้ายทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ หากไม่ทำตามความคาดหวังของครอบครัวหรือชุมชน
ผู้บัญชาการชไนเดอร์กล่าว
ฮานา อัสซาฟิรีย้ำว่า ไม่มีใครควรถูกบังคับหรือกดดันให้แต่งงาน เธอเรียกร้องให้ผู้หญิงวัยรุ่นที่กำลังเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ขอความช่วยเหลือและใช้ทรัพยากรความช่วยเหลือที่มีในออสเตรเลีย

หากคุณหรือบุคคลอื่นตกอยู่ในอันตราย โทรสายด่วนฉุกเฉิน 000

บริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวหรือการประทุษร้ายทางเพศ (1800RESPECT) โทร 1800 737 732 หรือ 1800RESPECT.org.au

บริการให้ข้อมูลและให้ความช่วยเหลือเรื่องสุขภาพจิต 24 ชั่วโมง (Beyond Blue) 1300 224 636 หรือ beyondblue.org.au

บริการสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาทางอารมณ์ 24 ชั่วโมง (Lifeline) โทร 13 11 14 หรือ lifeline.org.au

บริการให้คำปรึกษาแก่ผู้ชายที่มีปัญหาเรื่องอารมณ์รุนแรง ความสัมพันธ์และการเลี้ยงดูบุตร 24 ชั่วโมง (No To Violence) 1300 766 491 ntv.org.au  

บริการให้คำปรึกษาแก่ผู้เยาว์ 24 ชั่วโมง (Kids Helpline) โทร 1800 55 1800 หรือ kidshelpline.com.au

หาข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกตามลิงค์ด้านล่าง

Australia Explained เป็นพอดคาสต์ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่ในออสเตรเลีย

คุณสามารถส่งคำถามหรือไอเดียหัวข้อที่น่าสนใจมาได้ที่ australiaexplained@sbs.com.au

Share
Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand