การลักขโมยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ร้าน Orange Supermarket ในย่านตอนใต้ของเมืองซิดนีย์ จนลิ่วเจิน ไช่ พนักงานที่ร้านกล่าวว่าตอนนี้กลายเป็นเรื่องประจำวันไปแล้ว
“ปกติแล้ว การขโมยเกิดขึ้นทุกวัน และโดยเฉลี่ยร้านจะสูญเสียประมาณ $200–300 ดอลลาร์ จนถึง $500–600 ดอลลาร์ในบางวัน”
ยอดการลักขโมยสะสมเพิ่มพูนจนส่งผลกระทบต่อรายได้ของร้านอย่างมาก
ความสูญเสียโดยรวมต่อปีประมาณ 150,000 ดอลลาร์ ทำให้กำไรที่เดิมก็มีอยู่น้อยถูกบีบตัวลงไปอีก
แฮร์รี ซาว พนักงานร้านเล่าว่า การขโมยส่วนใหญ่เป็นของชิ้นเล็ก ๆ ที่สามารถซ่อนได้ง่าย
“กรณีที่พบบ่อยที่สุดคือการขโมยของเล็กๆ น้อยๆ ผู้คนแอบหยิบเครื่องดื่มหรือขนมใส่กระเป๋าหรือถุง ในขณะเดินเลือกสินค้า”
เรย์ หวง ผู้ช่วยผู้จัดการร้านระบุว่า ผู้ก่อเหตุมีทุกช่วงอายุ แต่กลุ่มหนึ่งจะโดดเด่นเป็นพิเศษ
“ผู้ก่อเหตุมีตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงผู้สูงอายุ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่น”
โดยผลสำรวจล่าสุดของมหาวิทยาลัยโมนาช ที่เผยแพร่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้ทำการสำรวจผู้ซื้อชาวออสเตรเลีย 1,047 คน ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปก็สะท้อนภาพเดียวกัน
สเตฟานี แอตโต ผู้เขียนรายงานพฤติกรรมเบี่ยงเบนของผู้บริโภค (Consumer Deviance Spotlight) เผยว่า
"วัยรุ่นมีแนวโน้มยอมรับการขโมยได้มากกว่า ผลสำรวจของเราพบว่า 54% ของกลุ่มอายุ 18–34 ปี เห็นว่าการขโมยสินค้าในร้านเป็นสิ่งที่พอยอมรับได้ในระดับหนึ่ง"

ลูกค้ากำลังซ่อนสินค้าในกระเป๋า
แอตโตอธิบายเพิ่มเติมว่า
“ในช่วงที่อาชญากรรมเพิ่มสูงอย่างน่ากังวล ชาวออสเตรเลียมีแนวโน้มยอมรับการขโมยสินค้าในร้านมากขึ้น หนึ่งในสี่ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า การหยิบของโดยไม่จ่ายเงินเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ระดับหนึ่ง เราคาดว่าจะเห็นอาชญากรรมในค้าปลีกเพิ่มขึ้นช่วงก่อนคริสต์มาส และผู้ค้าจำเป็นต้องระมัดระวัง ขณะที่ตำรวจและหน่วยบังคับใช้กฎหมายต้องมีบทบาทเชิงรุกมากขึ้นกว่านี้”
ในปีที่ผ่านมา รัฐวิกตอเรียมีอัตราคดีปล้นเพิ่มขึ้นสูงที่สุด อยู่ที่ 16% รองลงมาคือรัฐแทสมาเนียที่ 11%
ดร. วินเซนต์ เฮอร์ลีย์ อาจารย์ด้านอาชญวิทยา มหาวิทยาลัยแมคควอรี และอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจ อธิบายปัจจัยที่เอื้อต่อเรื่องนี้ว่า
มีทั้งเงินเฟ้อ รายได้ที่หยุดนิ่ง โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานพาร์ทไทม์ ทำให้ผู้คนบางส่วนมองว่าการขโมยเป็นหนทางหนึ่งในการประคองตัวให้อยู่รอดในวิกฤตค่าครองชีพนี้ดร. เฮอร์ลีย์กล่าว
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ขโมยของเป็นเรื่องปกติ ? ทำไมคนรุ่นใหม่ออสเตรเลียคิดเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกกลุ่มที่เห็นด้วย
กว่า 93% ของผู้บริโภคอายุ 55 ปีขึ้นไประบุว่า การลักขโมยเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้เลย
ดร. เฮอร์ลีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบชำระเงินแบบบริการตนเอง (self-checkout) อาจทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ยี่หระกับผู้เสียหาย
“พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่ากำลังขโมยจากคนคนหนึ่ง แต่รู้สึกว่ากำลังเอาของจากองค์กรหรือบริษัทที่ไม่มีตัวตน ไม่มีใบหน้า”
กว่า 70% ของผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายงานว่า การลักขโมยเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณที่ผ่านมา แม้ร้านค้า ตำรวจ และองค์กรต่าง ๆ จะร่วมมือกันเพื่อจัดการกับผู้ที่กระทำผิดซ้ำ แต่ดร. เฮอร์ลีย์ระบุว่าแนวโน้มนี้ยังไม่มีสัญญาณชะลอตัว
“เราในฐานะผู้มีส่วนร่วมในสังคมควรกังวลกับแนวโน้มนี้อย่างยิ่ง อาชญากรรมระดับเล็กน้อยสามารถนำไปสู่อาชญากรรมที่กว้างขึ้นและรุนแรงขึ้นได้”

เครื่องชำระเงินแบบบริการตนเอง (self-service) Source: AAP
นี่คือเหตุผลที่ทำให้แฮร์รี ซาวรู้สึกว่าการต่อสู้กับการลักขโมยเป็นภารกิจที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ
“ถ้าคุณขโมย มันเป็นการเห็นแก่ตัว ไม่คำนึงถึงคนอื่น และทำให้เกิดความไม่มั่นคง เพิ่มความรู้สึกไม่ปลอดภัยในชุมชน” ซาวกล่าว













