เสียงจากคนรุ่นใหม่ชุมชนไทย สะท้อนอนาคตการเมืองออสเตรเลีย

UN Youth

การเลือกตั้งระดับสหพันธรัฐของออสเตรเลียในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่คนรุ่น Millennial และ Gen Z จะมีจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมากกว่ากลุ่มเบบี้บูมเมอร์ Source: Getty / BIANCA DE MARCHI/AAPIMAGE

ฟังความคิดเห็นจากคนรุ่นใหม่ของชุมชนไทยว่า นโยบายใดมีผลต่อการลงคะแนนของพวกเขาและในฐานะคนรุ่นใหม่ที่กำชะตาการเมืองออสเตรเลีย พวกเขาอยากเห็นออสเตรเลียเป็นแบบใดในอนาคต


การเลือกตั้งระดับสหพันธรัฐของออสเตรเลียในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่คนรุ่นมิลเลนเนียล (Millennial) และ เจน ซี/แซด (Gen Z) จะมีจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมากกว่ากลุ่มเบบีบูมเมอร์

คำถามสำคัญคือเสียงของคนรุ่นใหม่จะเปลี่ยนหน้าตารัฐบาลชุดใหม่ได้หรือไม่?

คนรุ่นใหม่วันนี้เติบโตขึ้นท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายทั้งวิกฤตค่าครองชีพ ปัญหาค่าเช่าบ้านที่พุ่งสูง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและโอกาสทางสังคมอื่นๆ ที่เข้าถึงได้ยากขึ้น

ในประวัติศาสตร์การเมืองออสเตรเลีย พรรคที่ได้รับเลือกตั้งให้เป็นรัฐบาลมักสลับกันระหว่างพรรคแรงงาน (Labor Party) และพรรคร่วมระหว่างพรรคเสรีนิยมและพรรคชาตินิยม (Liberal-National Coalition)

ชาวออสเตรเลียรุ่นใหม่จะลงคะแนนเสียงให้ใคร

ข้อมูลจาก Australian Election Study (AES) ระบุว่าตลอดประวัติศาสตร์การเลือกตั้งออสเตรเลียตั้งแต่ปีค.ศ.1987 ถึง 2022 ฐานเสียงของพรรคแรงงานมักเป็นกลุ่มคนอายุน้อยในขณะที่ผู้ที่ลงคะแนนให้พรรคร่วมมักเป็นกลุ่มที่มีอายุเยอะกว่า

ผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี 2022 ชี้ว่ากลุ่มเจน ซี/แซด หรือผู้ที่เกิดหลังปีค.ศ.1996 ลงคะแนนให้กับพรรคร่วมเพียงร้อยละ 26 และลงคะแนนให้พรรคแรงงานและพรรคกรีนส์ (Australian Greens) ถึงร้อยละ 67

นอกจากนี้ความนิยมในหมู่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งแต่ละเพศก็ยังแตกต่างกันอีกด้วย ผลการเลือกตั้งปี 2022 ชี้ให้เห็นว่าพรรคแรงงงานได้รับคะแนนจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเพศหญิงร้อยละ 36 และร้อยละ 32 จากเพศชาย

ในขณะที่พรรคร่วมได้รับคะแนนจากเพศชายถึงร้อยละ 38 และร้อยละ 32 จากเพศหญิง
QUT GARDENS POINT STOCK
ปัญหาในสังคมที่กระทบกับคนรุ่นใหม่เช่น ปัญหาค่าครองชีพ และที่อยู่อาศัย ทำให้พวกเขาเริ่มเปลี่ยนอุดมคติทางการเมือง Source: AAP / JONO SEARLE/AAPIMAGE
ตั้งแต่การเลือกตั้งปี 1996 สถิติจาก AES บ่งชี้ว่าผู้หญิงลงคะแนนเสียงให้พรรคแรงงานในสัดส่วนที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยทางสังคมต่างๆ เช่น ผู้หญิงมีระดับการศึกษาที่สูงขึ้น

และผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานในจำนวนที่มากขึ้นทำให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับนโยบายที่เพิ่มความเท่าเทียมทางเพศ

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคแรงงานนั้นมีสมาชิกเพศหญิงถึงร้อยละ 46.8 แตกต่างจากสัดส่วนสมาชิกเพศหญิงของพรรคร่วมที่มีเพียงร้อยละ 21.4 หลังจากการเลือกตั้งสหพันธรัฐครั้งล่าสุดในปี 2022

ปัญหาเศรษฐกิจสังคม...ตัวแปรของการเลือกตั้ง?

อย่างไรก็ตามในปีนี้ กระแสเริ่มเปลี่ยนผลโพลล่าสุดโดย ดร.ลูค มันซิโล จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ชี้ว่าคนรุ่นใหม่ (อายุ 18–49 ปี) ยังคงสนับสนุนพรรคแรงงานเป็นหลักแต่ความนิยมต่อพรรคใหญ่ทั้งสองกลับลดลง

ขณะที่พรรคเล็กและผู้สมัครอิสระได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น ซึ่งพ้องกับบทวิเคราะห์ในบทความของ ABC ที่ชี้ว่าปัญหาในสังคมที่กระทบกับคนรุ่นใหม่เช่น ปัญหาค่าครองชีพและที่อยู่อาศัย ทำให้พวกเขาเริ่มเปลี่ยนอุดมคติทางการเมือง

ข้อมูลจากองค์กรบริการสุขภาพและสวัสดิการของรัฐบาลสหพันธรัฐ (Australian Institute of Heath and Welfare : AIHW ) ระบุว่าคนในช่วงอายุ 30-34 ปีในออสเตรเลีย

ตอนนี้กลายเป็นคนกลุ่มแรกในรอบเกือบ 50 ปี ที่ส่วนใหญ่ “ไม่สามารถมีบ้านเป็นของตัวเอง”

ดร.ราเชล วิฟอร์จ นักวิจัยจาก Curtin University กล่าวกับ ABC ว่า การมีบ้านเคยเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการเติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคง แต่พอไม่มีมันคนอายุน้อยเหล่านี้จึงรู้สึกเหมือนถูกพรากความหวังในอนาคตไป
มันไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่มันกระทบถึงความรู้สึกและตัวตนของคนหนุ่มสาว
ดร.ราเชล วิฟอร์จ
คุณ เกรซ วอเตอร์ส์-ฮิวจ์ส นักศึกษาจากมหาวิทยาลัย RMIT ที่เธอบอกว่าเธอจะลงคะแนนให้พรรคแรงงานเพราะหวังว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาค่าครองชีพได้ เปิดเผยให้เอสบีเอสไทยฟังว่า

“ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็คือวิกฤตที่อยู่อาศัย ฉันอยู่บ้านเช่าร่วมกับเพื่อนผู้หญิงอีกสามคนที่ถนนไลกอนฉันต้องทำงานสองที่เพื่อให้พอจ่ายค่าเช่า สัปดาห์ละ 275 ดอลลาร์ ยังไม่รวมบิลอะไรทั้งนั้น"

"ถึงแม้จะทำงานสองที่แต่สุดท้ายเหลือเงินแค่ 8 ดอลลาร์ในกระเป๋า ฉันรู้สึกว่าฉันทำงานหนักมากแต่สุดท้ายพอสิ้นสัปดาห์ ก็แทบไม่เหลืออะไรเลย”

ไค โบวี่ นักศึกษาจาก University of Melbourne วัย 20 ปี ผู้เป็นประธานชมรมพรรคร่วม (Melbourne University’s Liberal Club) เชื่อว่าพรรคร่วมจะนำความเปลี่ยนแปลงมาให้ออสเตรเลียในการเลือกตั้งครั้งนี้

“ผมอยากเห็นความมั่นคงในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสถียรภาพด้านที่อยู่อาศัย เสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจที่มั่นคง และการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว” ไคให้ความเห็น

เกวินทุ วิกรามานะยากะ สมาชิกชมรมพรรคร่วมจากมหาวิทยาลัยเดียวกันกล่าวว่าหากพรรคร่วมขึ้นมาเป็นรัฐบาลในสมัยถัดไป เขาอยากเห็นพรรคที่เขาเลือกใช้เงินภาษีเพื่อเพิ่มงบประมาณรักษาความมั่นคงแห่งชาติ

“ถ้าหากออสเตรเลียไม่มีความมั่นคงด้านการทหาร ไม่สามารถปกป้องตัวเองจากภัยคุกคามจากนานาชาติได้ เราก็สร้างเศรษฐกิจที่เติบโตหรือที่อยู่อาศัยที่มั่นคงไม่ได้อยู่ดี” เกวินทุกล่าว

เสียงจากคนรุ่นใหม่ชาวไทยในออสเตรเลีย

เอสบีเอสไทย ได้พูดคุยกับกลุ่ม First Voters คนไทยในออสเตรเลียที่มีสิทธิ์เลือกตั้งเป็นครั้งแรก หรืออยู่ในช่วงอายุ 18–44 ปี ถึงมุมมองและความคาดหวังของพวกเขาในการเลือกตั้งครั้งนี้

หนิง สมาชิกชุมชนไทยในซิดนีย์ กล่าวว่าการตัดสินใจเลือกพรรคใดนโยบายและประวัติของผู้สมัครเป็นสิ่งสำคัญ

“หลัก ๆ เลยก็ดูนโยบายและประวัติผู้สมัครว่าเรียนหรือทำงานอะไรมาบ้าง"
ประเด็นสำคัญคือเรื่องเศรษฐกิจและปากท้องว่าพรรคไหนช่วยเหลือประชาชนได้และมีนโยบายที่เอื้อต่ออาชีพเราด้วย
หนิง ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจากนครซิดนีย์
เธอยังเสริมว่านอกจากนี้นโยบายสิ่งแวดล้อมก็เป็นประเด็นที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจ

“บางพรรคใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องโลกร้อนแต่พรรคกรีนส์มีนโยบายที่เน้นลดการพึ่งพาถ่านหินอาจตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากกว่า”

เติ้ล จากเมลเบิร์น ให้ความเห็นคล้ายกันคือการให้น้ำหนักกับประเด็นเศรษฐกิจและค่าครองชีพ เช่นเดียวกับ โอม เจ้าของธุรกิจจากนครซิดนีย์

“สนใจเรื่องค่าครองชีพถ้ามีนโยบายที่ช่วยลดภาระผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางก็จะน่าสนใจ อีกประเด็นคือสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข”

“เราเป็นเจ้าของกิจการก็ต้องดูนโยบายเศรษฐกิจเพราะตอนนี้ค่าใช้จ่ายสูงพอๆ กับรายได้”
OMM Thai Voter edited.jpg
โอม ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรกและเป็นเจ้าของธุรกิจจากซิดนีย์ให้ความเห็นว่าประเด็นเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ Credit: Sira Sonrach
ในแง่นโยบายคนเข้าเมือง หนิงเห็นว่าการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ต้องมองให้รอบด้านเพราะอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและออสเตรเลียยังต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติ

“ต้องมองรอบด้านประเทศยังต้องพึ่งพาชาวต่างชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจถ้าเข้มงวดเกินไป อาจกระทบต่อเศรษฐกิจ”

เติ้ลเสริมว่า

“หลายพรรคโยงนักเรียนต่างชาติว่าเป็นเหตุบ้านเช่าแพงแต่ส่วนตัวไม่คิดว่าเป็นต้นเหตุหลักและควรมีแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืนมากกว่านี้”

รัฐบาลเสียงข้างน้อย = ทางเลือกใหม่?

ฌอน แรตคลิฟฟ์ นักรัฐศาสตร์จาก Accent Research กล่าวกับเอสบีเอสนิวส์ว่า

“กลุ่มอายุ 18–49 ปี เริ่มหันหลังให้พรรคใหญ่และสนับสนุนแนวคิดรัฐบาลเสียงข้างน้อยมากขึ้น"

โดยร้อยละ 60% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกลุ่มอายุ 18–34 ปี และร้อยละ 58% ของกลุ่ม 35–49 ปี เห็นว่ารัฐบาลที่ไม่มีพรรคใดครองอำนาจเบ็ดเสร็จอาจจะดีกว่า

เติ้ลมองประเด็นนี้ว่า
คนรุ่นใหม่กล้าที่จะเปลี่ยน ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมถ้านโยบายไหนตรงใจและทำได้จริง คนก็อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อความก้าวหน้า
เติ้ล สมาชิกชุมชนไทยในนครเมลเบิร์น
อุ้ย จากนครเมลเบิร์น ให้มุมมองอีกด้านว่า

“ระบบที่ไม่มีพรรคใดครองเสียงข้างมากมีผลดีเพราะเกิดการตรวจสอบที่เข้มงวดสมัยที่มีรัฐบาลลักษณะนี้ ในสมัยรัฐบาลกิลลาด (Gillard) จะเห็นว่ามี Productivity สูงสุดในประวัติศาสตร์ ทั้งด้านนโยบายและกฎหมายที่ผ่านรัฐสภา”
OUI Thai Voter edited.jpg
อุ้ย ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจากเมลเบิร์นชี้ว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยมีข้อดีหลายด้าน Credit: Oui Piyachat
คนรุ่นใหม่ในออสเตรเลียกำลังส่งสัญญาณถึงความต้องการ “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” ที่มอบความมั่นคงในชีวิต พร้อมกับแนวนโยบายที่ตอบโจทย์ด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและความเท่าเทียมทางสังคม

ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้จะเป็นบททดสอบสำคัญว่า ระบบการเมืองแบบเดิมจะสามารถปรับตัวเพื่อตอบสนองคนรุ่นใหม่ได้หรือไม่

หรือจะต้องเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนจากคลื่นลูกใหม่ที่พร้อมเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมืองออสเตรเลียไปอย่างสิ้นเชิง

ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram

Share
Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand