นับถอยหลังกฎหมายแบนโซเชียลฯในออสเตรเลีย ด้านนักวิชาการตั้งคำถามเรื่องความเป็นส่วนตัว

A 12-year-old boy looks at a smartphone screen (Getty)

เด็กชายวัย 12 ปีจ้องหน้าจอโทรศัพท์สมาร์ตโฟน Source: Getty / Matt Cardy

เมื่อกฎหมายแบนโซเชียลมีเดียสำหรับวัยรุ่นมีผลบังคับใช้ในปลายปีนี้ ออสเตรเลียจะเป็นประเทศแรกในโลกที่พยายามกำหนดอายุขั้นต่ำในการใช้โซเชียลมีเดีย อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ในขณะนี้เหลือเวลาไม่ถึง 6 เดือน แต่กฎหมายฉบับดังกล่าวยังคงไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการปฏิบัติงานอย่างไร


“หากกฎหมายนี้ถูกนำมาใช้จริง คิดว่าคนออสเตรเลียจะต้องช็อกหนักมาก เพราะอยู่ๆ พวกเขาก็ถูกบังคับให้ต้องส่งข้อมูลส่วนตัวเพื่อเข้าใช้บริการ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เข้าถึงได้อย่างเสรี”

นี่คือความคิดเห็นของศาสตราจารย์แดเนียล แองกัส ที่กล่าวถึงการเตรียมบังคับใช้กฎหมายแบนโซเชียลมีเดียสำหรับวัยรุ่น

ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคมปีนี้ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจะต้องดำเนินการ “ตามสมควร” เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวออสเตรเลียที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้งานแพลตฟอร์มของตนได้

ศาสตราจารย์แองกัสเป็นหนึ่งในนักวิชาการและองค์กรภาคประชาสังคมกว่า 140 แห่งที่ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกคัดค้านกฎหมายนี้

ส่วนผู้ร่วมลงนามอีกคนอย่างเช่น ศาสตราจารย์ทามะ ลีเวอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอินเทอร์เน็ตศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคอร์ติน ซึ่งระบุว่าขณะนี้ยังแทบไม่มีรายละเอียดใด ๆ ที่ชัดเจนเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้เลย เขากล่าวว่า

“เรารู้ว่ามีหลายภาคส่วนที่กำลังทำงานเรื่องนี้อยู่ และเรารู้ว่าทั่วโลกให้ความสนใจเรื่องนี้ แต่เรายังไม่รู้รายละเอียดเชิงลึกเลยว่ากฎหมายนี้จะถูกนำไปใช้จริงอย่างไร”
เมื่อรัฐบาลกลางผ่านกฎหมายฉบับนี้ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ได้กำหนดให้มีระยะเวลาหนึ่งปีในการเริ่มบังคับใช้

ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว กำหนดไว้สำหรับการทดลองที่รัฐบาลว่าจ้างมาเพื่อประเมินเทคโนโลยีที่สามารถใช้ได้ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารออกกฎระเบียบว่าบริษัทโซเชียลมีเดียสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้บ้าง

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา การทดลองดังกล่าวได้เผยผลเบื้องต้น ระบุว่า การยืนยันอายุสามารถทำได้ในออสเตรเลีย โดยที่ยังคงรักษาความเป็นส่วนตัว มีประสิทธิภาพ และเชื่อถือได้

แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่างศาสตราจารย์แองกัสก็ยังไม่เชื่อมั่นในคำกล่าวอ้างนี้นัก

“หนึ่งในข้อกังวลหลักคือ อุตสาหกรรมนี้มักจะพูดเกินจริงถึงความแม่นยำและประสิทธิภาพของเทคโนโลยีที่ใช้ ทั้งที่เราทราบดีว่ายังมีปัญหาใหญ่ในเรื่องอคติทางเพศและเชื้อชาติ รวมถึงประสิทธิผลโดยรวมของระบบเหล่านี้”

ศาสตราจารย์ด้านการสื่อสารดิจิทัลระบุว่า ประชาชนยังไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดจากเทคโนโลยีเหล่านี้

เพราะหากจะตรวจสอบว่าใครมีอายุต่ำกว่า 16 ปี ระบบก็ต้องสามารถตรวจสอบได้ด้วยว่าใครมีอายุมากกว่านั้นเช่นกัน

“ความเสี่ยงที่ใหญ่กว่านั้นคือ เมื่อพลเมืองทุกคนถูกขอให้มอบข้อมูลส่วนตัวที่มีความละเอียดอ่อนให้กับผู้ให้บริการ บุคคลที่สาม หรือแม้แต่รัฐบาล เพียงเพื่อเข้าถึงบริการดิจิทัลพื้นฐานที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน และเรายังไม่รู้แน่ชัดว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน”
แม้จะมีข้อกังวลดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์บางคน เช่น คิร่า เพนเดอร์กาสต์ ก็ยังคงสนับสนุนแนวทางนี้ คุณ เพนเดอร์กาสต์ กล่าวว่า

“เหมือนกับเรื่องความปลอดภัยทางเทคโนโลยีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงไซเบอร์หรือความปลอดภัยออนไลน์ มันไม่มีทางสมบูรณ์แบบ 100% อยู่แล้ว มันอาจไม่ใช่ทางออกที่วิเศษสุด แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก เพราะมันจุดประกายให้เกิดบทสนทนาที่จำเป็นในทุกระดับของสังคม”

เดิมทีคุณเพนเดอร์กาสต์เคยไม่เห็นด้วยกับการแบน เนื่องจากมีข้อกังวลด้านเทคนิค แต่เธอเปลี่ยนใจหลังจากเห็นว่าผู้ปกครองจำนวนมากประสบปัญหาในการรับมือกับการใช้โซเชียลมีเดียของลูก

เธอกล่าวว่า กฎหมายนี้มีศักยภาพที่จะช่วยให้พ่อแม่และครูเตรียมความพร้อมให้เด็กๆ ใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลอย่างปลอดภัยมากขึ้น

“ฉันคิดว่ามาตรการนี้จะมีประโยชน์หลายด้าน มันจะช่วยพ่อแม่ที่ลำบากใจในการห้ามลูกเล่นโซเชียลมีเดียได้ง่ายขึ้น แค่บอกว่า ‘ขอโทษนะ ลูกยังใช้ไม่ได้จนกว่าจะอายุ 16’ ซึ่งมันจะช่วยได้แน่นอน"

"นอกจากนี้ยังจะกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยในวงกว้าง และช่วยให้ครูสามารถเตรียมเด็ก ๆ ให้พร้อมรับมือกับโลกดิจิทัลที่พวกเขายังไม่เข้าใจได้ทันเวลา”

อย่างไรก็ตาม วัยรุ่นอย่างเอพริล วิลลิส ยังคงไม่เชื่อว่ากฎหมายแบนนี้จะได้ผลจริง

“ความจริงที่อาจฟังดูแรงคือ หลายๆ คน รวมถึงตัวฉันด้วย คิดว่า ‘น่าจะหาทางหลบเลี่ยงได้’ ซึ่งฉันมั่นใจว่าเด็กวัยรุ่นจำนวนมากก็คิดแบบเดียวกัน ฉันเองก็คงไม่ฟังคำห้าม และหาทางสมัครใช้งานจนได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”

เอพริลเล่าว่า ตอนที่เริ่มเล่นโซเชียลมีเดียในช่วงต้นวัยรุ่น มันเป็นพื้นที่ให้เธอได้เชื่อมโยงกับคนอื่นและสนุกสนาน แต่เมื่อโตขึ้น มันกลับส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเธออย่างเห็นได้ชัด

ปัจจุบัน เอพริลในวัย 22 ปี ทำงานกับองค์กรด้านสุขภาพจิต ReachOut ในฐานะตัวแทนเยาวชน และเธอเชื่อว่าเสียงของคนรุ่นใหม่ควรถูกรับฟังในการออกแบบและดำเนินนโยบายแบนโซเชียลมีเดียนี้ด้วย

“โดยเฉพาะตอนนี้ที่มีการประกาศเรื่องการแบนออกมาแล้ว บทสนทนากับเยาวชนกลับหยุดชะงักไป และฉันคิดว่าในขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ที่ต้องให้เยาวชนและองค์กรด้านสุขภาพจิตมีส่วนร่วมในการพูดคุยเรื่องนี้”
และไม่ใช่แค่ออสเตรเลียที่กำลังจับตาดูว่ากฎหมายนี้จะนำออกมาบังคับใช้ได้จริงหรือไม่

แต่ประเทศอื่น ๆ อย่างนิวซีแลนด์ กรีซ ฝรั่งเศส และสเปน ก็กำลังพิจารณาจะใช้มาตรการกำหนดอายุขั้นต่ำในการเข้าถึงโซเชียลมีเดียเช่นเดียวกัน

และในเมื่อออสเตรเลียเป็นประเทศแรกที่พยายามบังคับใช้นโยบายลักษณะนี้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก

ศาสตราจารย์ลีเวอร์ชี้ว่า หากต้องการให้มาตรการนี้ได้ผลจริง ต้องมีการทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน

“ถ้าประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกกำลังจับตามองออสเตรเลียและหวังว่าจะใช้เป็นต้นแบบได้ เราก็มีงานใหญ่มหาศาลที่ต้องเร่งทำในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อให้ได้ ‘ต้นแบบ’ ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง แทนที่จะเป็นแค่ความตั้งใจจะให้พ่อแม่รู้สึกอุ่นใจ ซึ่งในท้ายที่สุด ผมคิดว่านั่นคือหัวใจหลักของกฎหมายฉบับนี้”

ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram

Share

Recommended for you

Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand