ความรุนแรงตามแนวชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาปะทุขึ้นอีกครั้งในหลายพื้นที่บริเวณเขตแดนพิพาท โดยทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษกันว่าเริ่มยิงก่อน ขณะที่ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเพื่อมีจุดมั่งหมายทำลายสิ่งปลูกสร้างทางทหารของกัมพูชา หลังระบุพบการเคลื่อนย้ายอาวุธหนักและกำลังพลของกัมพูชาเข้าใกล้ชายแดน
ความตึงเครียดรอบนี้ถือเป็นบททดสอบสำคัญของข้อตกลงหยุดยิงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เป็นผู้ไกล่เกลี่ยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
เหตุปะทะล่าสุดเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางดึกและทวีความรุนแรงก่อนรุ่งสางของวันที่ 8 ธันวาคม โดยกองทัพบกไทยระบุว่ามีการสู้รบถึง 5 จุดตลอดแนวชายแดน ส่งผลให้ทหารไทย 3 นาย และพลเรือนกัมพูชา 4 คนเสียชีวิต ขณะที่ประชาชนกว่า 380,000 คน ในไทย และกว่า 1,100 ครอบครัวในกัมพูชา ต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง
“ทำงานไม่ได้ทั้งวัน”: เสียงคนไทยในออสเตรเลียกับความเป็นห่วงครอบครัว
แม้ตัวจะอยู่ไกล แต่ความรุนแรงที่ชายแดนไทย–กัมพูชากลับส่งแรงสะเทือนถึงชุมชนไทยในออสเตรเลียทันที หลายคนบอกว่าเขา “ทำงานไม่ได้ทั้งวัน” เพราะต้องคอยเช็กข่าวและติดต่อครอบครัวเป็นระยะ
คณิต คนไทยในซิดนีย์กล่าวว่า น้องชายที่อาศัยในอำเภอ กันทรลักษ์บอกว่าได้ยินเสียงระเบิดตั้งแต่ตี 4 (วันที่ 9 ธ.ค.) พร้อมแรงสั่นสะเทือนจากหลังคา
“น้องชายบอกว่าได้ยินเสียงระเบิด คือหลังคาสั่นอะตุ้มตู้มตู้มตั้งแต่ตี 4 มาแล้วครับ ตอนนี้กลัวนิดหน่อย มันไม่มีความรู้สึกปลอดภัยเลยครับ”

รัก คณิต สมาชิกชุมชนไทยในนครซิดนีย์เล่าเหตุการณ์ในเช้าวันที่เกิดการปะทะ Credit: Supplied/ Khanit Utitabud
“ที่บ้านอยู่กันทรลักษ์ ครั้งนี้เค้าสั่งอพยพหมด แบ่งเป็นโซนสีเหลืองสีแดง คนโซนแดงต้องออกทันที โรงพยาบาลก็อพยพคนป่วยออกหมด พอเยินข่าวก็เครียดมากค่ะ ทำงานไม่ได้เลย”
หมิวเล่าว่า จากการโจมตีครั้งก่อน มาจนถึงครั้งล่าสุด ชาวบ้านในพื้นที่ใช้ชีวิตกันอย่างหวาดผวา และไม่รู้สึกปลอดภัยเพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ต้องอพยพออกจากพื้นที่อีก
“รอบที่แล้วพ่อไม่ยอมไปเขาติดบ้าน แต่รอบนี้เตรียมกระเป๋าแล้ว ทุกคนไม่เอาของออกจากกระเป๋าเลย อยู่แบบพร้อมอพยพตลอด เพราะไม่รู้ว่าระเบิดจะลงเมื่อไหร่”
ส่วนเกรซ จากเมลเบิร์น เปิดเผยว่า สถานการณ์ที่ไม่สงบและต้องเตรียมอพยพตลอดเวลากระทบกับชาวบ้านทั้งสองฝั่งที่เป็นผู้สูงอายุ เธอเป็นห่วงพ่อแม่ที่อายุมากแล้ว
“เขตชายแดนเนี่ยนะคะทั้ง 2ฝั่งเลย อย่าว่าแต่ฝั่งเราจะมีแต่ผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุเนี่ยมีความกังวลมากเลยนะคะ เขาก็อยู่กันแบบหวาดระแวง”
ทั้งสามคนสะท้อนว่า ไม่ว่าปัญหาความขัดแย้งนี้จะเกิดขึ้นจากอะไร ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมืองหรือผลประโยชน์ทับซ้อน แต่คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดไม่พ้นคือคนในพื้นที่ และอยากให้ความขัดแย้งนี้จบลงเสียที
คณิต ชี้ว่า
“ถ้าเมื่อไหร่มันมีเรื่องผลประโยชน์ของนักการเมือง ท้องถิ่น หรือนักการเมืองระดับใหญ่เข้ามาพ่วงกันกับอีกฝั่งหนึ่งอะ คนที่ได้รับผลกระทบก็คือ ประชาชนอะพูดตามตรงก็คือประชาชน 2 ฝ่าย บางคนก็ยังเป็นเครือญาติกันเลยครับ ผลกระทบมันเยอะมาก”
ไม่เพียงแต่ผลกระทบด้านสังคม แต่ด้านเรษฐกิจก็เสียหายไม่ต่างกัน เกรซ บอกว่า
“อพยพ โยกย้ายทีก็เงินทอง แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือบ้างแต่มันก็ไม่พอ เราต้องออกค่าใช้จ่ายในการซ่อมบ้านเอง ยังมีพวกไร่นาสวน อยากให้จบทุกคนจะได้กลับไปทำมาหากิน”
แม้ว่าลึกๆ แล้ว คนที่เติบโตมาในพื้นที่อย่าง หมิว จะบอกว่ามันเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกมานาน และอาจจะไม่คลี่คลายโดยง่าย
“ถามว่าเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อุโมงค์มั้ย ตอนนี้คือไม่เห็น ไม่เห็นท่าทีว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้”

หมิว สมาชิก ชุมชนไทยในเมลเบิร์นที่เติบโตในพื้นที่เขตชายแดนกล่าวว่าแม้อยากเห็นสถานการณ์ความขัดแย้งสงบแต่อาจจะไม่คลี่คลายในเร็ววันเหมือนที่หวัง Credit: Supplied/Kamonwan Dalai
ต้นตอความขัดแย้งที่สืบทอดจากยุคล่าอาณานิคม
ดร. เกรก เรย์มอนด์ นักวิชาการด้านไทยศึกษาและความมั่นคงจาก ANU ให้สัมภาษณ์กับเอสบีเอสไทยเมื่อวันที่ 25 ก.ค. ว่า ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชามีความเป็นมาที่ยาวนานกว่าศตวรรษ
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตีความเส้นเขตแดนที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะบริเวณรอบโบราณสถานสำคัญ เช่น ปราสาทพระวิหาร และปราสาทตาเมือนธม
จุดเริ่มต้นของปัญหานี้ย้อนกลับไปถึง สนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในช่วง ค.ศ. 1904–1907 ซึ่งกำหนดอย่างกว้าง ๆ ว่า “เส้นพรมแดนจะลากผ่านสันปันน้ำของเทือกเขาดงรัก”
แต่ความซับซ้อนคือ ไม่มีแผนที่แนบท้ายอย่างเป็นทางการในเวลานั้น
แผนที่ที่ถูกนำมาใช้อ้างอิงในคดีศาลโลกปี 1962 นั้น ถูกจัดทำขึ้น ภายหลัง และยังคงเป็นจุดโต้แย้งระหว่างสองประเทศจนถึงปัจจุบัน
ดร.เรย์มอนด์ระบุว่า ความคลุมเครือของแผนที่ยุคอาณานิคมนี่เองที่วางรากฐานให้เกิดข้อพิพาทระหว่างไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่โบราณสถานจำนวนมากตั้งอยู่ในเขตไทยปัจจุบัน แต่มี “อัตลักษณ์และรากวัฒนธรรมขอม” ซึ่งกัมพูชามองว่าเป็นของตน ดร.เรย์มอนด์ อธิบายว่า
“กัมพูชาให้ความสำคัญกับปราสาทเหล่านี้ในฐานะมรดกของชาติ แต่ข้อเท็จจริงคือหลายแห่งตั้งอยู่ในอาณาเขตประเทศไทยอย่างชัดเจน”
เขาเสริมว่า ความยุ่งยากอีกประการคือ โครงสร้างการบัญชาการในพื้นที่ชายแดนที่ซับซ้อน ซึ่งมักนำไปสู่ความเข้าใจผิดระหว่างกำลังทหารสองฝ่ายและเป็นตัวจุดชนวนความตึงเครียด
แม้จะมีความพยายามเจรจาและกระบวนการระหว่างประเทศในอดีต แต่ “ปัญหาใหญ่ที่ยังไม่เคยแก้ไขได้” คือ เส้นแบ่งแดนที่ไม่มีใครเห็นพ้องร่วมกันอย่างชัดเจน
และจนกว่าจะมีการจัดการความคลุมเครือนี้อย่างยั่งยืน ดร.เรย์มอนด์มองว่า ความขัดแย้งมีแนวโน้มจะปะทุขึ้นได้อีกในอนาคต




