ประเด็นสำคัญ:
- นักวิจัยชาวออสเตรเลียพบสารเคมีอันตรายในระดับสูงในผลเบอร์รี่ที่ขายตามร้านค้า
- การตรวจสอบโดยหน่วยงานกำกับดูแลยาฆ่าแมลงแนะนำให้ระงับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีดังกล่าว
- แนะนำให้ผู้บริโภคล้างหรือปอกเปลือกผักเพื่อลดปริมาณสารกำจัดศัตรูพืช
หน่วยงานกำกับดูแลสารเคมีทางการเกษตรของออสเตรเลียได้เสนอให้ระงับการใช้สารกำจัดศัตรูพืชกับผลไม้บางชนิด หลังจากตรวจพบสารเคมีอันตรายในระดับสูงในบลูเบอร์รี่ที่ขายตามร้านค้า
เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เคิร์สเตน เบนเคนดอร์ฟ ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นครอส ได้ทดสอบบลูเบอร์รี่และราสเบอร์รี่ที่ซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตในออสเตรเลีย เธอพบว่ามีสารกำจัดศัตรูพืชที่ถูกห้ามใช้ในสหภาพยุโรปในระดับสูงที่ รวมถึงยังพบสารเคมีอีกชนิดหนึ่งที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในออสเตรเลีย
สำนักงานยาฆ่าแมลงและสัตวแพทย์แห่งออสเตรเลีย (APVMA) กล่าวว่าจะดำเนินการทันที หากมีหลักฐานบ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อชาวออสเตรเลีย
ระดับของสารเคมีที่ถูกแบนได้ก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับกฎระเบียบยาฆ่าแมลงในออสเตรเลีย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

เปิดข้อมูลน้ำประปาในออสเตรเลีย ปลอดภัยแค่ไหน? ดื่มได้จริงหรือไม่?
เกิดอะไรขึ้น?
เบนเคนดอร์ฟได้ทำการทดสอบลำธารที่สัมผัสกับน้ำจากสวนที่ปลูกบลูเบอร์รี่ รวมถึงมีการทดสอบในปู หอยนางรม และเต่าในทะเล จนกระทั่งพบสารเคมีบางชนิดที่ทำให้เกิดความสงสัย
“ฉันแค่สนใจอยากรู้ว่ามันเข้าไปในอาหารของเราหรือเปล่า” เธอบอกกับ SBS News
หลังจากซื้อเบอร์รี่หลายกล่องจากซูเปอร์มาร์เก็ตสามแห่งในชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐนิวเซาท์เวลส์ เบนเคนดอร์ฟได้นำผลไม้เหล่านั้นมาที่ห้องทดลองของเธอเพื่อทำการทดสอบ ซึ่งเธอพบไดเมโทเอตในระดับสูง ซึ่งเป็นสารเคมีที่สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (USEPA) ระบุว่าเป็น “สารก่อมะเร็งในมนุษย์”
ไดเมโทเอตเป็นสารพิษต่อระบบประสาททั่วไปที่ใช้กันมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1950 แต่กลับถูกกฎหมายในออสเตรเลีย ด้านสหภาพยุโรปได้สั่งห้ามการใช้สารนี้ในปี 2019 โดยสำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งยุโรป (EUF) สรุปว่าการใช้สารนี้เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ผู้ประกอบการ และพนักงาน
ตัวอย่างทั้งหมดของเบนเคนดอร์ฟมีสารกำจัดศัตรูพืชอยู่ระหว่าง 4 ถึง 11 ชนิด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วทั้งหมดต่ำกว่าเกณฑ์ที่แนะนำ
แต่มีตัวอย่าง 3 ตัวอย่างที่มีปริมาณไดเมโทเอตสูงพอที่จะเกินปริมาณที่ยอมรับได้ต่อวัน หากบริโภคทุกวัน
สารกำจัดศัตรูพืชมีการควบคุมอย่างไรในออสเตรเลีย?
ข้อเท็จจริงของการใช้สารกำจัดศัตรูพืชในอุตสาหกรรมเกษตรของออสเตรเลียนั้น มุ่งเป้าไปที่เพลี้ยอ่อน แมลงวันผลไม้ และมอด แต่ก็ส่งผลกระทบต่อเราเช่นกัน
สำนักงานยาฆ่าแมลงและสัตวแพทย์แห่งออสเตรเลีย (APVMA) เป็นหน่วยงานกำกับดูแลยาฆ่าแมลงและสารเคมีในออสเตรเลีย
หน่วยงานนี้กำหนดขีดจำกัดสารเคมีสูงสุดสำหรับยาฆ่าแมลงที่ใช้ในพืชผล ซึ่งรวมถึง "ขอบเขตความปลอดภัยที่กว้าง" เพื่อให้มั่นใจว่าสารเคมีตกค้างในผลผลิตจะต่ำกว่าจุดที่ "อาจวัดผลกระทบได้" 10 ถึง 100 เท่า
แต่เพื่อให้กลไกความปลอดภัยเหล่านี้มีประสิทธิภาพ ข้อมูลระดับการบริโภคจำเป็นต้องมีความแม่นยำ
ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ APVMA ได้รับ "ตัวเลขการบริโภคที่อัปเดต" สำหรับบลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ ซึ่งระบุว่าระดับการบริโภคเพิ่มขึ้นระหว่าง 285 ถึง 962 เปอร์เซ็นต์
ก่อนหน้านี้ไม่มีการให้ข้อมูลการบริโภคผลเบอร์รี่มาตั้งแต่ปี 1995 APVMA ระบุว่าการอนุมัติผลิตภัณฑ์ไดเมโทเอตในปี 2017 นั้น "อ้างอิงจากหลักฐานล่าสุดที่มีอยู่ ณ เวลานั้น"
ในเดือนมีนาคม ตัวเลขการบริโภคที่ปรับปรุงใหม่กระตุ้นให้ APVMA เริ่มดำเนินการตรวจสอบไดเมโทเอต ซึ่งส่งผลให้ APVMA ตัดสินใจเสนอให้ระงับการใช้ "ผลิตภัณฑ์ไดเมโทเอตบางชนิด" สำหรับใช้กับบลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่
APVMA ระบุว่าสารตกค้างนี้ไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาต่อมนุษย์ แต่ได้เสนอให้ระงับการใช้เพื่อเป็นมาตรการป้องกันไว้ก่อน
APVMA ระบุว่ามั่นใจว่าการใช้ไดเมโทเอตอื่นๆ ที่ได้รับอนุมัติทั้งหมดนั้นปลอดภัย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

สตาร์ตอัพออสฯ หัวใสคิดค้นเนื้อเพาะเลี้ยงส่งร้านอาหารทั่วประเทศ
เบนเคนดอร์ฟกล่าวว่าเธอรู้สึก "กังวล" เกี่ยวกับกฎระเบียบเกี่ยวกับสารเคมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาหารที่ได้รับการส่งเสริมให้เป็นซูเปอร์ฟู้ดอย่างเบอร์รี่
"เมื่อพิจารณาถึงปริมาณสารตกค้างสูงสุดของสารกำจัดศัตรูพืชหลายชนิดที่ APVMA กำหนดไว้ พบว่าในเบอร์รี่มีปริมาณสารตกค้างสูงกว่าในอาหารประเภทอื่นๆ และเด็กๆ ก็กินผลไม้ทีละกล่อง ในขณะที่เพื่อนร่วมงานของฉันกินผลไม้ทีละหกกล่องต่อสัปดาห์" เธอกล่าว
งานวิจัยของเธอตรวจพบสารไทโอเมตัน ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงที่มีพิษและถูกห้ามใช้ในออสเตรเลียตั้งแต่ปี 2001 ในปริมาณต่ำ ในบลูเบอร์รี่ 6 ตัวอย่างจาก 11 ตัวอย่าง และราสเบอร์รี่ทุกตัวอย่าง
เบนเคนดอร์ฟชี้ให้เห็นว่าสารนี้น่าจะมาในรูปแบบของสารปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้กับพืชผล
"เมื่อมีการจดทะเบียนสารกำจัดศัตรูพืชในออสเตรเลียครั้งแรก บริษัทจำเป็นต้องทำการวิเคราะห์ทางเคมี แต่ไม่ได้มีการทดสอบโดยอิสระ" เธอกล่าว
หากอุตสาหกรรมต้องการใช้สารกำจัดศัตรูพืช ควรแสดงให้เห็นว่าอาหารสะอาด หรือให้ข้อมูลว่าสารกำจัดศัตรูพืชชนิดใดที่เป็นปัญหา
อาหารบรรจุหีบห่อทุกชนิดจำเป็นต้องติดฉลากพร้อมรายละเอียดเกี่ยวกับสารเคมีและสารเติมแต่ง แต่สำหรับอาหารสดของเรา กลับไม่มีรายละเอียดว่าอาจมีสารเคมีอันตรายใดบ้าง
บลูเบอร์รี่ที่คุณซื้อมาปลอดภัยหรือไม่?
APVMA ระบุว่าหลักฐานสนับสนุนความปลอดภัยของบลูเบอร์รี่ในออสเตรเลีย
เมื่อพูดถึงผักและผลไม้ชนิดใดที่มีสารกำจัดศัตรูพืชน้อยกว่าชนิดอื่น ออสเตรเลียยังขาดข้อมูลที่ชัดเจน คณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานประจำปี 'Dirty Dozen' ซึ่งระบุผักและผลไม้ที่มีสารกำจัดศัตรูพืชมากที่สุด
รายงานประจำปี 2025 Dirty Dozen โดยผักโขมครองอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยสตรอว์เบอร์รี ผักคะน้า องุ่น และลูกพีช ส่วนบลูเบอร์รี่อยู่ในอันดับที่ 11
เพื่อช่วยลดปริมาณสารกำจัดศัตรูพืชที่ได้รับ หน่วยงานมาตรฐานอาหารออสเตรเลียและนิวซีแลนด์แนะนำให้ล้างหรือปอกเปลือกผักผลไม้ เลือกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกหรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารตกค้างต่ำ หรือปรับเปลี่ยนอาหารการกินเพื่อไม่ให้ได้รับสารเคมีชนิดเดียวกันในปริมาณมาก
ผักผลไม้ออร์แกนิกในออสเตรเลียยังคงมีสารกำจัดศัตรูพืชอยู่ แต่ปริมาณที่เบนเคนดอร์ฟพบในตัวอย่างผักออร์แกนิกของเธอนั้นต่ำมาก
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ออสเตรเลียรั้งตำแหน่ง 'เมืองหลวงแห่งโรคภูมิแพ้ของโลก'
แม้ว่าการล้างจะสามารถขจัดสารเคมีบางชนิดออกจากผลไม้ได้ แต่ก็ไม่สามารถขจัดออกได้ทั้งหมด การทดสอบของเบนเคนดอร์ฟทำกับบลูเบอร์รี่ที่ล้างแล้ว
“เบอร์รี่มีเปลือกแบบกึ่งซึมผ่านได้และสารเคมีจะเข้าไปได้ การล้างอาจช่วยได้ แต่ฉันคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สาธารณชนควรรู้ว่าการทดสอบของฉันทำกับเบอร์รี่ที่ล้างแล้ว” เธอกล่าว
งานวิจัยในปี 2024 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nano Letters ของสมาคมเคมีอเมริกัน พบว่าวิธีที่ดีที่สุดในการ “กำจัดสารตกค้างจากยาฆ่าแมลงเกือบทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพ” คือการปอกเปลือก แทนการล้าง
ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ชาวออสเตรเลียกว่าล้านคนอาจป่วยเป็นภาวะสมองเสื่อมในอีก 40 ปีข้างหน้า