ในขณะที่วิกฤตที่อยู่อาศัยของออสเตรเลียทวีความรุนแรงขึ้น การเป็นเจ้าของบ้านสักหลังยิ่งห่างไกลเกินจะฝันสำหรับชาวออสเตรเลียทั่วไป แต่สำหรับมหาเศรษฐีในประเทศนี้กลับมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
รายชื่อ “คนรวย” หรือ Rich List ประจำปีจาก Australian Financial Review ซึ่งเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่ามูลค่ารวมของคนรวยที่สุด 200 คนในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นถึง 160% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2025 มีมูลค่ารวมสูงถึง 667,800 ล้านดอลลาร์
โดยผู้ที่ครองอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 6 คือ จีนา ไรน์ฮาร์ต (Gina Rinehart) มหาเศรษฐีธุรกิจเหมืองแร่ ซึ่งมีทรัพย์สินสุทธิราว 38,000 ล้านดอลลาร์ ในทางตรงข้าม รายได้เฉลี่ยต่อปีของชาวออสเตรเลียอยู่ที่เพียง 55,062 ดอลลาร์ ตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติออสเตรเลีย (ABS)
องค์กรต่อต้านความยากจน Oxfam ชี้อสังหาริมทรัพย์คือเครื่องจักรผลิตเงินของมหาเศรษฐี อีกทั้งยังระบุว่า อสังหาริมทรัพย์คือเครื่องจักรผลิตเงินของมหาเศรษฐี และเป็นแหล่งสะสมความมั่งคั่งอันดับหนึ่งของคนรวยในออสเตรเลีย
Oxfam ให้สัมภาษณ์กับ SBS News ว่า มูลค่าความมั่งคั่งของคนใน Rich List รวมกันแล้วนั้น สามารถซื้อบ้านเฉลี่ยในออสเตรเลียได้มากกว่า 680,000 หลัง โดยคำนวณจากราคาบ้านเฉลี่ยที่ 976,800 ดอลลาร์ ต่อหลัง ตามข้อมูลของ ABS ซึ่งช่องว่างนี้กำลังขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
จากการวิเคราะห์ของ Oxfam พบว่า จำนวนมหาเศรษฐีในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในรอบ 10 ปี โดยเพิ่มขึ้นจากจำนวน 74 คนในปี 2015 เป็น 161 คนในปี 2025 โดยคนรวยเฉลี่ยใน Rich List มีทรัพย์สินมากกว่าคนในกลุ่มล่างสุด 50% ถึง 116,000 เท่า

ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 137 ล้านดอลลาร์ต่อวันหรือ 95,000 ดอลลาร์ต่อนาที Source: SBS
'ผิดทั้งทางศีลธรรม ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม'
Oxfam ได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปภาษีอีกครั้งเพื่อจัดการกับความเหลื่อมล้ำ และทำให้คนมั่งคั่งสุดมีส่วนร่วมจ่ายอย่างเป็นธรรม
ทางด้านคริซานตา มูลิ (Chrisanta Muli) รักษาการผู้อำนวยการ Oxfam Australia บอกกับ SBS News ว่า “การมีมหาเศรษฐีคือสัญญาณว่าระบบเศรษฐกิจของเราใช้งานไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น”
“ความเหลื่อมล้ำในระดับนี้ไม่เพียงผิดศีลธรรม แต่มันยังอันตรายทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคม ในขณะที่ชาวออสเตรเลียหลายล้านคนกำลังดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ คนรวยสุดของประเทศกลับสะสมความมั่งคั่งระดับมหาศาล โดยแทบไม่ต้องลงแรงอะไรเลย”
“ครอบครัวนับล้านยังหาข้าวกินแทบไม่ได้ แต่มหาเศรษฐีต่างใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยเกินจินตนาการ”
Oxfam วิเคราะห์ว่า คนที่อยู่ในกลุ่มล่าง 50% ของประชากร มีความมั่งคั่งเฉลี่ยอยู่ที่ราว 28,000 ดอลลาร์ และตัวเลขนี้แทบไม่เปลี่ยนเลยในรอบ 10 ปี ซึ่งหมายความว่า โอกาสในการเป็นเจ้าของบ้าน หรือมีความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวนั้นต่ำมาก
ในทางตรงกันข้าม แฮร์รี่ ทริกูบอฟ (Harry Triguboff) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย ซึ่งอยู่ในอันดับ 2 ของ AFR Rich List กลับเห็นความมั่งคั่งของตัวเองเพิ่มขึ้นจาก 13,700 ล้านดอลลาร์ในปี 2016 เป็น 29.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025
Oxfam ระบุว่า มูลค่าทรัพย์สินของเขาเพียงคนเดียว สามารถซื้อบ้านออสเตรเลียเฉลี่ยได้มากกว่า 30,000 หลัง
นอกจากอสังหาริมทรัพย์แล้ว แหล่งความมั่งคั่งของคนรวยออสเตรเลียในทศวรรษที่ผ่านมา ยังมาจาก ค้าปลีก การลงทุน และทรัพยากรเหมืองแร่
ในขณะที่วิกฤตที่อยู่อาศัยเลวร้ายลง
Oxfam ชี้ว่า การเติบโตของความมั่งคั่งของมหาเศรษฐี เกิดขึ้นควบคู่กับ วิกฤตที่อยู่อาศัยที่เลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง
จากรายงาน Rental Affordability Snapshot 2025 ของ Anglicare Australia:
- มีเพียง 0.7% ของบ้านเช่าในตลาด ที่ผู้มีรายได้ขั้นต่ำแบบเต็มเวลาสามารถเช่าได้
- สำหรับครอบครัวที่มีพ่อแม่ทำงานค่าแรงขั้นต่ำ 2 คน มีบ้านเช่าเพียง 12.8% ที่สามารถเข้าถึงได้
- สำหรับผู้ที่ได้รับเงินช่วยเหลือ เช่น JobSeeker, Disability Support Pension หรือ Age Pension แทบไม่มีบ้านเช่าที่เข้าถึงได้เลย
“มันน่าตกใจและไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง ที่อสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นเครื่องจักรสร้างความร่ำรวย ในขณะที่ผู้มีรายได้น้อยกว่า 99% เข้าถึงที่อยู่อาศัยไม่ได้เลย” มูลิกล่าว

The Anglicare Snapshot surveyed 51,238 rental listings across Australia, revealing that just 0.7 per cent of rentals were affordable for someone earning a full-time minimum wage. Source: SBS
โดยครัวเรือนที่มีรายได้รวม 112,000 ดอลลาร์ต่อปี สามารถซื้อบ้านที่ขายได้ในตลาดได้เพียง 14% เท่านั้น
การวิเคราะห์ระบุว่า คุณต้องมีรายได้ครัวเรือนสูงถึง 213,000 ดอลลาร์ต่อปี จึงจะสามารถซื้อบ้านในครึ่งหนึ่งของตลาดได้
การเรียกร้องให้เก็บภาษีคนรวย
Oxfam เรียกร้องให้รัฐบาลกลางจัดทบทวนระบบภาษีอย่างครอบคลุม เพื่อควบคุมการสะสมความมั่งคั่งของคนรวยที่สุด และอุดช่องโหว่ของระบบภาษีแบบก้าวหน้าในปัจจุบัน
พวกเขาเสนอให้เก็บ ภาษีทรัพย์สิน (wealth tax) โดยเฉพาะจากกลุ่มมหาเศรษฐี 1% แรกของประเทศ ซึ่งสามารถระดมรายได้เป็น หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี และนำไปใช้ในการดูแลสุขภาพ สร้างที่อยู่อาศัยราคาถูก และแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ
“มหาเศรษฐีจ่ายภาษีที่แท้จริงเฉลี่ยเพียง 0.3% ของทรัพย์สินของตนทั่วโลก เพราะพวกเขาไม่ได้ร่ำรวยจากรายได้ แต่จากการถือครองสินทรัพย์ ระบบภาษีรายได้จึงไม่สามารถเก็บภาษีจากพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ” มูลิกล่าว
เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

ถึงคราวปรับราคา 'นม' หลังเสี่ยงขาดแคลนสินค้าในประเทศ