ณ เวลานี้คงไม่มีหนังไทยเรื่องไหนที่น่าจับตาเท่า “A Useful Ghost – ผีใช้ได้ค่ะ” ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของ อุ้ย-รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค
ที่คว้ารางวัลใหญ่ Grand Prize AMI Paris รางวัลสูงสุดที่คณะกรรมการจะมอบให้กับภาพยนตร์ขนาดยาวยอดเยี่ยมประจำปีของสายประกวด Semaine de la Critique ในเทศกาลภาพยนตร์คานส์ 2025 ซึ่งถือเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่ชนะในสายประกวดนี้ ทั้งยังได้รับเลือกจาก สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ เป็นตัวแทนหนังไทยเข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 98 สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม (Best International Feature Film)
อุ้ย-รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค ที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย Credit: Aaron Wan
“A Useful Ghost (ผีใช้ได้ค่ะ)” เล่าเรื่องราวของ มาร์ช (โมสต์ วิศรุต) ผู้กำลังจมอยู่ในความโศกเศร้าหลังการสูญเสีย แนท (ใหม่ ดาวิกา) ภรรยาของเขาที่เสียชีวิตเพราะมลพิษฝุ่น แต่แล้วเขากลับค้นพบว่าวิญญาณของแนทหวนกลับมาในร่างที่ไม่คาดคิด—สิงอยู่ในเครื่องดูดฝุ่น
ขณะเดียวกัน วิญญาณของแรงงานที่เสียชีวิตได้ปรากฏตัวขึ้นเพื่อหลอกหลอนโรงงานของแม่มาร์ช (อุ๋ม อาภาศิริ) จนทำให้โรงงานต้องปิดกิจการ ครอบครัวของเขาจึงไม่ยอมรับความสัมพันธ์ “เหนือธรรมชาติ” ระหว่างมาร์ชกับแนท
เพื่อพิสูจน์ว่าความรักของเธอยังมีความหมายและสามารถอยู่ร่วมกับมาร์ชได้ แม้ในสภาพของ “มนุษย์กับเครื่องดูดฝุ่น” แนทจึงอาสาแก้ปัญหา โดยตั้งใจจะจัดการกับเหล่าวิญญาณที่ก่อกวนโรงงาน และแสดงให้เห็นว่าเธอยังคงเป็น “ผีที่มีประโยชน์”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

3 หนังผีไทยได้รับเลือกฉายในเทศกาล ‘Spotlight on Thai Horror’ ในออสเตรเลีย
เอสบีเอสไทยมีโอกาสคุยกับ อุ้ย-รัชฏ์ภูมิ ในโอกาสที่มาฉายในออสเตรเลีย และผลตอบรับจากผู้ชมในเทศกาลค่อนข้างดี ที่มียอดจองเต็มทุกรอบจนทางเทศกาลต้องเปิดรอบพิเศษเพิ่มอีก
มาฉายที่เมลเบิร์น ปฏิกิริยาผู้ชมที่นี่เป็นยังไงบ้าง ต่างจากที่คานส์ ที่นิวซีแลนด์ไหม
“ตั้งแต่แรกๆ แล้วตอนที่ถ่ายหนัง ตัดต่อ ผมก็จะมีความกังวลว่าคนต่างชาติจะเข้าใจไหม คือผมจะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันมีองค์ประกอบบางอย่างที่ต้องเป็นคนที่แบบอยู่เมืองไทยหรือว่ารู้เกี่ยวกับสังคมวัฒนธรรมไทยประมาณนึงถึงจะเข้าใจ ก็คิดไปก่อนคนจะใจไหม ปรากฎว่าพอฉายที่คานส์ เอ่อเสียงตอบรับมันดี อย่างน้อยมันก็ได้รางวัลมาหรือว่าพอมาฉายที่นี่ผมก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วฟีดแบคก็โอเค มันก็มีทั้งชอบไม่ชอบ แต่ว่าคนที่ชอบมันก็ชอบมากในแบบที่เราก็แปลกใจเหมือนกันว่าเค้าเก็ทกับมัน เหมือนกับว่าเขาก็ดูขําไปกับหนังได้ ก็เซอร์ไพรส์เหมือนกัน”

ภาพตัวอย่างใน “A Useful Ghost – ผีใช้ได้ค่ะ” Credit: Supplied
ประสบการณ์การทำหนังสั้นของคุณช่วยให้คุณสร้างจังหวะให้กับภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกของคุณได้อย่างไร
“ตอนผมทําหนังสั้น ผมก็จะมีการตั้งต้นโดยการชอบเอาพวกตัวละครในประวัติศาสตร์หรือว่าในป๊อปคัลเจอร์ไทยมาตีความใหม่ แล้วก็ผมก็สนใจกับการเล่นกับการเล่นกับเส้นเรื่อง การพลิกแพลง การที่จู่ๆ หนังตลกก็กลับมาเครียด จู่ๆ การที่เรื่องมันเป็นพูดเรื่องซีเรียสแต่ก็ตลกอะไรอย่างนี้ ซึ่งเป็นก็เป็นสิ่งที่ผมทดลองในหนังสั้นแบบสามสิบนาทียี่สิบนาที แล้วมันก็เหมือนกับว่าพอเรารู้สึกว่าเราประคองมันได้และมันเวิร์ค พอมาทำหนังยาวเราก็เลยลองใช้วิธีเดียวกัน คือในเรื่องนี้ผีก็มีทั้งความอารมณ์ขันแต่ในขณะเดียวกันจู่ๆ มันจะไปแตะเรื่องที่มันแบบ เอ้ย ทําไมเรื่องมันซีเรียสจัง”
ใน A Useful Ghost คุณได้ตีความนิทานพื้นบ้านไทยคลาสสิกเรื่องแม่นาคใหม่ผ่านมุมมองร่วมสมัยและเหนือจริง อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณหวนรำลึกถึงนิทานพื้นบ้านเรื่องนี้อีกครั้งในรูปแบบของ A Useful Ghost แล้วสร้างสมดุลระหว่างองค์ประกอบดั้งเดิมกับบทวิจารณ์สังคมสมัยใหม่ได้อย่างไร
“มันประกอบด้วยสองส่วน คือจริงๆ ผมสนใจแม่นาคเพราะว่าคือเป็นผีที่คนเอามาทําหนังบ่อยมากน่าจะเป็นผีที่ดังสุดในแบบเป็นผีที่ได้กลายเป็นหนัง เป็นละคร ข้ามสื่อเยอะมากเลย แต่ว่ากับเรื่องนี้ผมรู้สึกว่ามันจะมีอีกภาพนึงที่ผมชอบเห็นตอนคิดเรื่องนี้คือเห็นภาพผีเดินอยู่ออฟฟิศ ไม่ได้มาหลอกคน แต่มาทํางาน
แล้วผมก็รู้สึกชอบความไอเดียที่เหมือนกับว่าเราอยู่ในยุคที่ยากลําบากขนาดที่ว่าคนตายไปแล้วยังต้องทํามาหากินเลี้ยงชีพ แล้วผมรู้สึกว่าอยากจะเอาสองอย่างนี้ คือตํานานเรื่องผีผู้หญิงที่อยากอยู่กับผัวแต่ว่าคนรอบข้างเขาไม่อยากให้เขาอยู่กับผีที่ต้องออกไปทํางานเอามาผสมกัน ผีที่ใช้ได้หมายถึงว่าก็ทํางานได้อะไรอย่างงี้”

Credit: Supplied
สิ่งที่โดดเด่นมากๆ คือประเด็น “ลัทธิอาณานิคมภายใน” ในประเทศไทย คุณช่วยขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ใน A Useful Ghost และความเชื่อมโยงกับภาพยนตร์สั้นเรื่องก่อนๆ ของคุณได้อย่างไร
“คือผมสนใจความประเด็นที่เราถูกสอนว่า ไทยเป็นประเทศที่ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร เราเป็นเอกราช แต่ผมรู้สึกว่าภายในประเทศเอง มันมีความโดนครอบงําจากจากส่วนกลางเยอะ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมสนใจทำในหนังสั้นมาหลายเรื่องและความจริงแล้วA Useful Ghost มันเหมือนกับคิดต่อยอดมาเหมือนกันจากงานหนังสั้นนั้นว่า ทําไมชีวิตของผู้คนในสังคมเนี่ยเหมือนกับเราไม่ได้มีอิสระขนาดนั้น ซึ่งก็ต้องไปดูหนังว่า ความไม่มีอิสระที่ว่าเนี่ยคืออะไร”
ทั้งในภาพยนตร์และการนำเสนอในที่อื่นๆ “ฝุ่น” กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังสำหรับเสียงที่ถูกลืมหรือถูกกีดกัน อยากให้ช่วยอธิบายกระบวนการคิดในการเชื่อมโยงภาพสิ่งแวดล้อมกับความทรงจำทางการเมืองและการลบเลือนได้ให้หน่อย
“ส่วนนึงที่ทําให้เราคิดว่าเราจะใช้อะไรเป็นตัวแทนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสูญหายหรืออะไรก็ตามที่อาจจะมองไม่เห็น ซึ่งผมว่าคือฝุ่น เหมือนที่ในหนังก็จะมีการพูดถึงเหมือนกันว่า การพัฒนายังไงก็ต้องมีฝุ่นหมายถึงว่า เราจะสร้างอะไรสร้างถนนสร้างตึกอะไรอย่างงี้ มันก็ต้องเกิดมลภาวะ
แล้วเหมือนกับว่าเราจะพยายามให้ความชอบธรรมกับมันได้ไหมว่า เอ้ย ถ้าเราอยากเจริญมันก็ต้องมีสิ่งนี้สิ มีสิ่งที่แบบเล็กๆ น้อยๆ อะไรอย่างเงี้ย แต่ว่าผมรู้สึกว่าบางทีเราอาจจะมองความเจริญและการพัฒนานั้นทําให้ถูกมองข้ามคนบางคนบางกลุ่มไป จริงๆไม่อยากพูดเยอะ เดี๋ยวจะสปอยไปหน่อย”

Credit: Supplied
ในระดับนานาชาติ A Useful Ghost ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบถึงการลบล้างรัฐและความอยุติธรรมที่ยังคงอยู่ คุณหวังว่าผู้ชมในประเทศไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ จะได้อะไรจากการวิพากษ์วิจารณ์ประวัติศาสตร์ที่ถูกกดขี่?
“จริงๆ ผมชอบคิดว่าอยากให้คนคุยเกี่ยวกับ ‘ผี’ มากขึ้น เรื่องผีคือผมรู้สึกว่า ผีมันมีความหมายหลายอย่าง มันหมายถึงผีที่แบบเป็นวิญญาณคนตายก็ได้หรือว่าผีที่หมายถึงอดีตก็ได้เพราะว่าสําหรับผม ผีเป็นคนตายแต่ว่าเป็นคนตายที่ไม่ยอมตายไปเฉยๆ เขายังกลับมาอยู่ในปัจจุบัน เพราะว่าคนทั่วไปถ้าเกิดตายแล้วเขาคงหายไปจากโลก แต่ว่าผีคือคนที่ยังกลับมา มันยังเป็นอดีตที่ปั่นป่วนกับเวลาปัจจุบัน
ผมเลยรู้สึกว่ามันคงมีอะไรบางอย่างมั้ง เขาก็เลยยังพยายามจะพูด คนตายที่ไม่ยอมเป็นอดีต เขาพยายามจะพูดอยู่ ผมเลยรู้สึกว่า A Useful Ghost น่าจะทําให้คนคุยกันเรื่องผีหรือว่าคุยกันเรื่องอดีตหรืออะไรบางอย่างที่มันยังมีผลตกค้างอยู่ในปัจจุบันครับ”
“แล้วถ้าพูดถึงว่าผีอาจจะไม่ใช่เป็นผีจริงๆ แต่เป็นความทรงจําที่หลอกหลอน ผมเคยคุยกับเพื่อน เขาเป็นคนอังกฤษแล้วตอนนั้นเราคุยกันแบบว่า ผมจะไปเบอร์ลิน แล้วเพื่อนคนนั้นก็บอกว่าเออฉันไม่อยากไปเบอร์ลินหรอกเพราะว่า ‘There are many ghosts in Berlin’ มีผีเยอะในเบอร์ลิน

Credit: Supplied
คุณอุทิศรางวัล Cannes Grand Prix ให้กับ "ผีทั้งหมดในประเทศไทย" คุณช่วยแบ่งปันความทรงจำส่วนตัวหรือความทรงจำส่วนรวมที่คุณอ้างถึงได้ไหม? ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่หายไปหรือประวัติศาสตร์ที่ถูกลบเลือน ซึ่งคุณรู้สึกว่าจำเป็นต้องยกย่องผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้?
“ใช่ครับ คือเมืองไทยมีผีเยอะ สังคมไทยมีผีเยอะมาก แล้วก็รู้สึกว่ายังมีผีหลายตัวหลายตนที่ที่ยังรอคอยการพูดถึง รอคอยการตระหนักจากคนในปัจจุบัน”
A Palace of Dreams โดย Ismail Kadare นวนิยายเรื่องนั้นมีอิทธิพลต่อการเลือกเรื่องราวของคุณอย่างไร และการลบล้างความทรงจำบอกอะไรเกี่ยวกับการควบคุมทางสังคมและภาวะหลงลืมทางประวัติศาสตร์บ้าง
“A Palace of Dreams มันเป็นเหมือนในโลกสมมุติ คือเล่าโลกปกตินี่แหละ แต่ว่าเราอยู่ในอาณาจักร ประเทศแห่งหนึ่งที่ มันจะมีสิ่งที่เรียกว่ากระทรวงความฝัน แล้วทุกวันเวลาคนตื่นนอนมา ก่อนเขาไปทํางาน เขาต้องแวะอําเภอก่อน แล้วที่อําเภอก็จะมีเจ้าหน้าที่ความฝัน คุณก็ต้องไปเล่าว่า เมื่อคืนความฝันอะไรให้เจ้าหน้าที่ฟัง เจ้าหน้าที่ก็จดบันทึกว่าประชาชนในประเทศฝันอะไรไว้บ้าง แล้วความฝันเนี่ยก็ถูกส่งไปที่กระทรวง ที่กระทรวงก็จะมีคนวิเคราะห์ฝัน เขาก็จะมาวิเคราะห์ว่าประชาชนมีความสุขดีไหมหรือมีใครฝันอะไรเป็นภัยไหม”
“ผมรู้สึกประทับใจกับความเป็นสังคมดิสโทเปียนิดนิดในก็คือเราอยู่ในโลกที่ความเป็นส่วนตัวมันไม่มีแล้วจริงๆ เพราะแม้แต่ความฝันมันยังถูกตรวจสอบเลย แล้วบางทีความฝัน เราทําสิ่งนั้นในฝันไม่ได้แปลว่าเราจะทําสิ่งนั้นในชีวิตจริง แต่ว่าในนิยายเล่มเหมือนกับว่า สิ่งที่กระทรวงพยายามจะหาคือใครที่จะเป็นอันตรายต่อสังคมอะไร โดยที่เขายังไม่ต้องทําอะไรด้วยซ้ำ เขาแค่ฝันถึงอะไรเงี้ยแล้วผมรู้สึก เออ น่าสนใจ ก็เอามาเป็นแรงบันดาลใจอย่างหนึ่ง”

Credit: Supplied
เราพูดถึงการควบคุม คุณมองอนาคตของภาพยนตร์ไทยในวันที่รัฐบาลมีนโยบายด้านซอฟท์พาวเวอร์ สิ่งนี้จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยอย่างไร รวมถึงการ censorship จากส่วนกลาง
“ถ้าเกิดว่าอยากจะสนับสนุนภาพยนตร์ไทยจริง ๆ การสนับสนุนอย่างแรกมันก็ต้องไม่มีการเซ็นเซอร์ก่อน คนทําหนังหรือว่าคนทํางานสื่อศิลปะใด ๆ ก็ควรที่จะมีโอกาสหรือมีอิสรภาพที่จะพูดในสิ่งที่อยากจะพูดได้ การเซ็นเซอร์ก็ไม่ควรมี ผมว่าเป็นขั้นต่ำที่สุดเลยคือไม่มีการเซ็นเซอร์ แล้วก็ที่เหลือมันอาจจะเป็นเรื่องของการสนับสนุนเชิงการเงินทุน คือการหาเงินทําหนังมันยาก มันเป็นสื่อราคาแพงประมาณหนึ่ง ถ้าเกิดว่าภาครัฐมีทุนมาช่วยเหลือเพื่อให้โปรเจกต์มันเริ่มได้ไรเงี้ย คนทําหนังก็จะทำงานง่ายขึ้นในการที่เขาจะไปหาเงินต่อได้เพราะว่าอย่างน้อยมันมีก้อนแรก"