แพทย์หญิงรัมยา รามัน แพทย์ทั่วไปที่รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย เธอยังรับหน้าที่รองประธานวิทยาลัยศึกษาแพทย์ทั่วไปในพระราชูปถัมภ์แห่งออสเตรเลีย (The Royal Australian College of General Practitioners)
แบบสำรวจรายงานสุขภาพแห่งชาติของปีนี้เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของแพทย์หญิงรัมยาโดยตรง เนื่องจากเธอก็เผชิญกับชั่วโมงนัดหมายที่กินเวลานานขึ้นและโรคของคนไข้ที่ซับซ้อนกว่าเดิม
“ในฐานะแพทย์ทั่วไปที่เป็นผู้หญิง ฉันมีคนไข้ที่มารักษาโรคที่ซับซ้อน โดยเฉพาะโรคในกลุ่มจิตเวช เวลาปรึกษาเพื่อรักษาโรคจึงค่อนข้างนาน ฉันไม่ได้จะบ่น จริงๆ ก็เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่นัดหมายแต่ละครั้งใช้เวลานานเพื่อจะได้รักษาคนไข้ได้ดีขึ้น”
รายงานดังกล่าวพบว่าเวลาตรวจโรคของแพทย์ทั่วไปนั้นสูงขึ้น โดยเฉลี่ยอยู่ที่คนละไม่เกิน 20 นาที ซึ่งเพิ่มขึ้นมาประมาณหนึ่งนาที
ประธานวิทยาลัยศึกษาแพทย์ทั่วไปฯ นายแพทย์ไมเคิล ไรท์ กล่าวว่าตัวเลขนี้ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่
“รายงานปีนี้มีข้อมูลใหม่ที่สำคัญหลายเรื่อง อย่างเช่นร้อยละ 99 ของคนไข้ชาวออสเตรเลียบอกว่าพวกเขาพบแพทย์ทั่วไปได้เลยเมื่อจำเป็น แต่เราเห็นว่าโรคที่พวกเขาเข้ามาพบแพทย์ทั่วไปนั้นเริ่มซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ"
แพทย์หญิงรัมยาก็กล่าวไว้ตรงกันว่าโรคในกลุ่มจิตเวชนั้นเป็นกลุ่มหลักที่รักษาและวินิจฉัยได้ยาก
นายแพทย์ไมเคิลเผยว่าแพทย์ทั่วไปกว่าร้อยละ 71 ตอบแบบสำรวจว่าคนไข้มาพบแพทย์ด้วยโรคกลุ่มจิตเวชมากที่สุด โดยเฉพาะโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละสิบตั้งแต่ที่เริ่มทำแบบสำรวจในปี 2017
แต่อัตราของโรคเรื้อรังและปัญหาสุขภาพต่างๆ ก็สูงขึ้นเมื่อคนไข้อายุเยอะขึ้นเช่นกัน
แม้ว่ารายงานสุขภาพแห่งชาติจะเจอข่าวดีว่าคนไข้เข้าถึงแพทย์ทั่วไปได้มากขึ้น แต่รายงานดังกล่าวระบุว่าคนไข้ที่ไม่ไปพบแพทย์ตามนัดเพราะค่ารักษานั้นมีจำนวนมากขึ้น
แม้ว่าจะมีแพทย์ทั่วไปเพียงร้อยละ 12 เท่านั้นที่บอกว่าพวกเขาคิดค่ารักษาแบบเหมาจ่าย (Bulk Billing) ให้คนไข้ได้ แต่รายงานก็พบว่าจำนวนของคนไข้ที่ต้องรอคิวพบแพทย์นานกว่าปกตินั้นกลับลดลงจากปีที่แล้ว
แพทย์หญิงรัมยากล่าวว่าการเข้าถึงแพทย์ทั่วไปนั้นยังสำคัญเพราะจะช่วยเลี่ยงไม่ให้คนไข้ป่วยหนักในภายหลัง
"เวลาคนไข้สามารถมาพบแพทย์ทั่วไป มาปรึกษาเรา นั่นแปลว่าพวกเขาจะไม่ป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล ยังไงมาหาแพทย์ทั่วไปก็ดีกว่าต้องไปโรงพยาบาล"
แต่ว่าโรคที่แพทย์ทั่วไปต้องรักษาในขณะนี้กลับซับซ้อนมากกว่าเดิม
รายงานสุขภาพแห่งชาติกล่าวว่าแพทย์ทั่วไปกว่าร้อยละ 86 กำลังรักษาโรคที่แพทย์เฉพาะทางควรจะเป็นเจ้าของไข้ นอกจากนี้โรคในกลุ่มจิตเวชที่พบมากแล้ว ก็ยังมีโรคเบาหวานและโรคหัวใจที่แพทย์ทั่วไปพบมากที่สุด
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอิสระ และอดีตแพทย์ทั่วไป โซฟี สแกมปส์ ชี้ว่าปัญหาคนไข้เข้าไม่ถึงแพทย์เฉพาะทางทำให้แพทย์ทั่วไปต้องทำหน้าที่แทน
แพทย์หญิงโซฟีบอกว่าการพบแพทย์ทั่วไปนั้นสำคัญมากเพราะการป้องกันและรักษาโรคแต่เนิ่นๆ เป็นการรักษาที่ดีที่สุด
เรารู้ว่าโรคที่เป็นภาระของสาธารณสุขออสเตรเลียกว่าร้อยละ 40 นั้นเป็นโรคที่ป้องกันได้ และแพทย์ทั่วไปนี่เองที่จะมอบเวชศาสตร์ป้องกันให้คนไข้ได้ดีที่สุด แต่ในออสเตรเลียเรากลับลงทุนเรื่องเวชศาสตร์ป้องกันเพียงแค่ร้อยละสองของงบสาธารณสุขเท่านั้น นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศที่มีรายได้พอๆ กับเรา
นายแพทย์ไมเคิลเสนอว่าต้องเพิ่มงบให้ประกันสุขภาพเมดิแคร์เพื่อแก้ปัญหานี้
“เราต้องแก้งบประมาณของเมดิแคร์เพื่อให้คนไข้ทำนัดกับแพทย์ทั่วไปได้นานขึ้น เรารู้ว่าเมื่อคนไข้มีเวลาพบแพทย์ได้ครั้งละนานขึ้นนั้นสำคัญกับสุขภาพของพวกเขา แล้วก็สำคัญกับชุมชนด้วย”
รัฐบาลพรรคแรงงานได้หาเสียงช่วงเลือกตั้งไว้ว่าจะเพิ่มงบประมาณให้ระบบคิดค่ารักษาแบบเหมาจ่าย (Bulk Billing) ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้รัฐบาลจะพิจารณาเงื่อนไขและคุณสมบัติของแผนรักษาโรคจิตเวชที่รวมอยู่ในประกันสุขภาพเมดิแคร์เช่นกัน
แผนดังกล่าวมุุ่งปรับปรุงระบบนัดหมายแพทย์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดภาระงานด้านธุรการที่แพทย์ทั่วไปต้องรับผิดชอบ แต่กระนั้นนายแพทย์ไมเคิลคิดว่าวิธีแก้ปัญหานี้ยังไม่เพียงพอ
“แพทย์โรคทั่วไปทำงานกันหนักมาก พวกเราได้รับงบเท่าเดิมมาสิบปีแล้ว แม้ว่าโรคที่เรารักษาจะซับซ้อนมากขึ้น และยังมีงานธุรการที่เยอะขึ้นด้วย”
รายงานสุขภาพแห่งชาติยังตรวจสอบปัญหาการเลือกปฏิบัติในสาธารณสุขอีกด้วย โดยระบุว่าในช่วงปีที่ผ่านมา แพทย์ทั่วไปกว่าหนึ่งในสามกล่าวว่าพวกเขาเคยเห็นคนไข้โดนเหยียดเชื้อชาติขณะเข้ารับการรักษา
และแพทย์ทั่วไปถึงร้อยละ 20 ระบุว่าพวกเขาเคยโดนเหยียดเชื้อชาติโดยคนไข้ของตัวเอง
แพทย์หญิงแคเรน นิโคลส์ ประธานสภาสุขภาพชนพื้นเมืองและชาวเกาะช่องแคบเทอเรสของวิทยาลัยศึกษาแพทย์ทั่วไปฯ กล่าวว่าปัญหาการเหยียดเชื้อชาตินั้นมีผลกระทบตามมาที่รุนแรง
คนไข้อาจมีแนวโน้มหลีกเลี่ยงไม่มาพบแพทย์ หรือพวกเขาอาจจะไม่เข้ารับการรักษาไปเลย พวกเขาอาจจะเข้าใจว่าถ้าหากไปพบแพทย์เมื่อไหร่พวกเขาจะโดนเหยียดเชื้อชาติเมื่อนั้น เวลาที่ตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดแบบนั้น ร่างกายคนเราอาจจะตอบสนองด้วยภาวะสู้หรือหนี (fight or flight) ซึ่งเพิ่มความดันโลหิตและอัตราการเต้นหัวใจให้สูงขึ้น นำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ ได้
วิทยาลัยศึกษาแพทย์ทั่วไปฯ เริ่มลงมือแก้ปัญหาการเลือกปฏิบัติในสาธารณสุขแล้ว รวมถึงวางแผนอบรมเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับชนพื้นเมืองและชาวเกาะช่องแคบทอเรสให้กับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์
นายแพทย์ไมเคิลยอมรับว่าวิทยาลัยศึกษาแพทย์ทั่วไปฯ ทราบดีว่ายังมีปัญหาอีกมากที่ต้องแก้ต่อไป
“หลายปีที่ผ่านมาเราถกเถียงกันเรื่องเหยียดเชื้อชาติว่าปัญหานี้สร้างผลกระทบยังไงบ้าง ในที่สุดเราก็ได้เห็นการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมที่เราเฝ้ารอมานาน เรายินดีที่ปัญหานี้ได้รับการสะสางสักที”