อัตรามะเร็งผิวหนังยังพุ่ง วิจัยชี้วัยรุ่นกลุ่มเสี่ยงสุด เหตุเทรนด์โซเชียลมีเดีย

Australia Explained - Skin Cancer

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าแนวโน้มอัตรามะเร็งผิวหนังเมลาโนมาที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย (ฉลากบนขวดโลชั่นเป็นการออกแบบขึ้นเพื่อประกอบฉากเท่านั้น) Credit: wragg/Getty Images

จากการศึกษาพบว่า ในหนึ่งช่วงชีวิต สองในสามของชาวออสเตรเลียได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งผิวหนัง ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาทุก ๆ หกชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าแนวโน้มอัตรามะเร็งผิวหนังเมลาโนมาที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย ที่ส่งเสริมพฤติกรรมเสี่ยงมากขึ้น


Slip, Slop, Slap! เป็นคำขวัญรณรงค์เรื่องมะเร็งผิวหนังของออสเตรเลียที่เปิดตัวในปี 1981 ที่เปิดตัวมาพร้อมกับนกนางนวล Sid ตัวละครขวัญใจคนดู ที่ออกมาร้องเพลงเตือนให้ทุกคนระวังอันตรายจากรังสียูวี

ผ่านไป 44 ปี [[มกราคม 2025]] แม้เพลงจะยังจำได้ติดหู แต่จากผลการศึกษาของ Cancer Council ร่วมกับสำนักงานสถิติออสเตรเลีย (ABS) พบว่า เนื้อหาสระหลักของการรณรงค์นี้ เริ่มเลือนหาย

ศาสตราจารย์แอนน์ คัสต์ นักระบาดวิทยาและประธานคณะกรรมการมะเร็งผิวหนังแห่งชาติ เผยว่า ขณะนี้จำเป็นต้องเร่งปรับแผนการสื่อสารให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามไปไกลกว่านี้ ศาสตราจารย์แอนน์ คัสต์ เปิดเผยว่า

"ในปีที่ผ่านมา หนึ่งในห้าของชาวออสเตรเลียวัยรุ่นพยายามอาบแดดเพื่อให้ผิวแทน แต่มีตัวเลขราวครึ่งหนึ่งของคนออสซี่กลุ่มนี้ ที่มีการป้องกันแสงแดดอย่างมีประสิทธิภาพ"

แนวโน้มนี้น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยปีนี้คาดว่าจะมีผู้ป่วยเมลาโนมากว่า 16,800 คน เฉลี่ยแล้วมีผู้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งผิวหนังทุก ๆ 30 นาที

คำถามคือ คนรุ่น Gen Z ได้รับความรู้เรื่องการป้องกันแสงแดดอย่างดี แล้วทำไมคนรุ่นใหม่ในออสเตรเลียถึงยังไม่ทำตามคำแนะนำเหล่านั้น?

“กลุ่มวัยรุ่นเป็นกลุ่มคนที่ขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์ระยะสั้น ถ้าฉันอาบแดด ฉันดูดี รู้สึกดี และคนรอบข้างก็ชม ส่วนผลกระทบในอีก 35 ปีข้างหน้า มันเป็นเรื่องในอนาคต” ดร.สตีเฟน แดนน์ อธิบาย

ด้านศาสตราจารย์จอร์จินา ลอง เจ้าของรางวัล Australian of the Year ปี 2024 และนักวิจัยมะเร็งผิวหนังระดับแนวหน้าของโลก แสดงความกังวลต่อกฎระเบียบโฆษณาในโลกออนไลน์ของออสเตรเลีย

เธอชี้ว่า อินฟลูเอนเซอร์ไม่สามารถโปรโมตผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF ได้ แต่พวกเขากลับสามารถ นำเสนอสินค้าที่ยังไม่มีการพิสูจน์คุณสมบัติทางเภสัชกรรม เช่น ครีมเร่งผิวแทน ในช่องทางโชเชียลมีเดีย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ผู้ติดตาม

ดร.สตีเฟน แดนน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ชี้ว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ "โซเชียลมีเดีย" ที่ยังคงส่งเสริมค่านิยมผิวแทนในหมู่วัยรุ่น

“ผู้คนทาครีมเร่งผิวแทนก่อนอาบแดดเพื่อให้ได้ผิวแทนเร็วขึ้น แต่นั่นคืออันตราย มันคือสารก่อมะเร็ง คำถามคือเราควรมีกฎหมายควบคุมเรื่องนี้หรือไม่? เราควรเปิดโอกาสให้มีโฆษณาครีมกันแดดที่มีคุณภาพดีได้หรือไม่? เพราะตอนนี้ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้โฆษณาไม่ได้” ศ.จอร์จินา ลอง ตั้งคำถาม


ตั้งแต่ปี 2022 หน่วยงาน TGA ของออสเตรเลียห้ามการรีวิวหรือรับรองสินค้าที่อ้างสรรพคุณทางการแพทย์หรือสุขภาพในโซเชียลมีเดีย ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์กันแดดและวิตามิน

กฎนี้ครอบคลุมแม้แต่คำบรรยายคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF ซึ่งส่งผลให้แบรนด์ไม่สามารถโปรโมตครีมกันแดดได้อย่างเปิดเผย

ดร.สตีเฟน แดนน์ มองว่ากฎซึ่งตั้งใจเพื่อปกป้องผู้บริโภค อาจกำลังส่งผลในทางตรงกันข้าม

“ตอนนั้นรัฐบาลห่วงเรื่องอาหารปนเปื้อน หรือการโฆษณายารักษาโรคที่ไม่มีทางรักษาได้จริง แต่ครีมกันแดดกลับโดนหางเลข มันเป็นนโยบายที่ดี แต่มีการบังคับใช้ผิดวัตถุประสงค์ ” ดร.แดนน์อธิบาย

ขณะที่เทรนด์บน TikTok อย่าง แฮชแทค #sunburnttanlines มียอดเข้าชมทะลุ 200 ล้านครั้ง เทรนด์นี้ทำให้ องค์กรด้านโรคมะเร็ง (Cancer Council) จึงเปิดตัวแคมเปญ End the Trend เพื่อต่อสู้กับค่านิยมผิวแทน

โดยมีอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังชาวออสเตรเลีย 6 คน เข้าร่วมแคมเปญในเดือนมีนาคม 2025 ด้วยการงดออกแดด เลิกใช้ผลิตภัณฑ์ผิวแทน และส่งเสริมให้แฟนคลับหลบแดดแทน

เทลา บรอด หนึ่งในผู้ร่วมแคมเปญ เผยว่า แรงจูงใจของเธอมาจากประสบการณ์ตรง เมื่อเห็นคนใกล้ตัวต้องเผชิญกับโรคมะเร็งผิวหนัง

“เราทุกคนควรตระหนักว่าค่านิยมผิวแทน สร้างผลเสียได้มากแค่ไหน ซึ่งรวมไปถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ผิวแทน เรามาร่วมกันตั้งคำถามว่า…ทำไมเราถึงเชื่อว่าการมีผิวแทนคือความสวย”

ศาสตราจารย์แอนน์ คัสต์ มองเห็นความย้อนแย้งที่เกิดขึ้น เมื่อเทรนด์ผิวแทนกลับเฟื่องฟูในโลกออนไลน์ที่ขับเคลื่อนด้วยอุดมคติความงาม ทั้งที่แท้จริงแล้ว มันอาจนำไปสู่ภัยสุขภาพในระยะยาว

“รังสียูวีจากแสงแดดมีหลายชนิด UVA ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย ส่วน UVB เป็นสาเหตุหลักของอาการผิวไหม้แดด เพราะฉะนั้นถ้าคุณห่วงเรื่องความสวย การหลบแดดคือทางเลือกที่ดีกว่า” ศ.จอร์จินา ลอง อธิบาย

suntan-melanoma_aap.jpg
องค์กรด้านโรคมะเร็ง ( Cancer Council ) จึงเปิดตัวแคมเปญ End the Trend เพื่อต่อสู้กับค่านิยมผิวแทน
ศ.ลอง คือผู้นำด้านการวิจัยการรักษามะเร็งผิวหนังด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ซึ่งช่วยให้โรคจากที่เคยอันตรายถึงชีวิตในปี 2010 มาเป็นโรคที่มีโอกาสรักษาหายมากกว่า 50% ในปัจจุบัน

ศ.จอร์จินา ลอง อธิบายถึงการปฏิวัติการรักษามะเร็งผิวหนังตั้งแต่ช่วงปี 2010 ว่า

“เซลล์มะเร็งจะส่ง ‘สัญญาณจับมือ’ กับระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันเข้าใจผิดว่า ‘นี่คือเพื่อน เป็นครอบครัว ไม่ต้องฆ่า’ แต่ยาต้านจุดตรวจภูมิคุ้มกัน (checkpoint inhibitors) เป็นยากลุ่มหนึ่งที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง จะไปขัดขวางการจับมือนั้น เปิดทางให้เซลล์ T เข้าจัดการฆ่าเซลล์มะเร็งเมลาโนมาได้”

แม้การรักษาจะก้าวไกล แต่ศ.ลอง และผู้เชี่ยวชาญทั่วออสเตรเลียยังย้ำว่า

การป้องกันคือการรักษาที่ดีที่สุด และการป้องกันลำดับถัดไปคือการตรวจผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ
ศาสตราจารย์ จอร์จินา ลอง

ศ. ลองแนะนำว่า คุณสามารถประเมินความเสี่ยงมะเร็งผิวหนังของคุณได้ที่เว็บไซต์ melanomarisk.org.au

“คุณสามารถประเมินได้ว่า คุณมีความเสี่ยงระดับไหน เช่น ผู้หญิงที่เติบโตในรัฐนิวเซาท์เวลส์จะมีความเสี่ยงเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3 ฟังดูเหมือนน้อย แต่จริง ๆ แล้วกลับไม่ใช่เช่นนั้น เพราะที่จริงแล้ว สำหรับโรคมะเร็ง การมีความเสี่ยงตลอดชีวิตที่สูงถึง 3% ถือว่าไม่ต่ำเลย และนั่นคือความเสี่ยงเฉลี่ยของผู้หญิงทั่วไปในรัฐนี้เท่านั้น”

ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram


Share
Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand