จากสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นเมื่อไม่นานนี้ หนึ่งในข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะคือภาพถ่ายดาวเทียมซึ่งแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพในพื้นที่พิพาท
ข้อมูลนี้มาจากการวิเคราะห์ของ นาธาน รูเซอร์ นักวิจัยจากสถาบันนโยบายเชิงยุทธศาสตร์แห่งออสเตรเลีย (ASPI) และถูกใช้เป็นหนึ่งในแหล่งอ้างอิงเพื่อช่วยให้สังคมเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น
เอสบีเอสไทยจึงชวนเขามาพูดคุยเพื่อสำรวจว่า เทคโนโลยีการสังเกตการณ์จากอวกาศสามารถทำอะไรได้บ้างในการยืนยันข้อเท็จจริง ลดความสับสนของข้อมูล และอาจช่วยสนับสนุนความพยายามสร้างสันติภาพในพื้นที่ขัดแย้งได้อย่างไร
ในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ข่าวสารที่ไหลบ่าอาจกลบเสียงของความจริง แต่ในยุคที่เทคโนโลยีการสังเกตการณ์จากอวกาศก้าวหน้า
ภาพถ่ายดาวเทียมกำลังกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยยืนยันข้อเท็จจริงและสร้างความโปร่งใสในพื้นที่สงคราม
หนึ่งในองค์กรที่ทำงานในแนวหน้าเพื่อสร้างความเข้าใจเหล่านี้คือ Australian Strategic Policy Institute (ASPI) – สถาบันวิจัยนโยบายอิสระและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ที่มุ่งผลิตองค์ความรู้และคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อผู้นำในออสเตรเลียและทั่วโลก ASPI เป็นหนึ่งในเสียงที่น่าเชื่อถือที่สุด เมื่อมีการถกเถียงประเด็นยุทธศาสตร์ ความมั่นคง ปัญหาภัยคุกคามไซเบอร์ เทคโนโลยี และการแทรกแซงจากต่างชาติในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก
นาธาน รูเซอร์ นักวิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียมจาก ASPI คือหนึ่งในผู้ใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อค้นหาความจริงในสถานการณ์ความขัดแย้ง
เขาอธิบายว่า ภาพดาวเทียมมีบทบาทสำคัญต่อการสืบค้นข้อเท็จจริงในพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึง และบางครั้งยังช่วยยับยั้งไม่ให้สถานการณ์บานปลายไปสู่ความรุนแรง
ภาพถ่ายที่ไม่อาจบิดเบือน

นาธาน รูเซอร์ นักวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศจากสถาบันนโยบายเชิงยุทธศาสตร์แห่งออสเตรเลีย (ASPI) Credit: ASPI
“เพราะมันเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างเปิดเผยและตรวจสอบได้ จึงยากที่ใครจะบิดเบือนหรือสร้างเรื่องราวชี้นำสังคมได้ง่าย ๆ”
เขาอธิบายว่า ในอดีตการใช้ดาวเทียมเป็นเรื่องของรัฐบาลและหน่วยข่าวกรองเท่านั้น ต้องใช้งบประมาณมหาศาล
แต่วันนี้เครื่องมืออย่าง Google Earth หรือภาพจากดาวเทียมเชิงพาณิชย์เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แม้จะไม่ทันต่อเหตุการณ์เท่าข้อมูลที่รัฐบาลถือครอง แต่ก็เพียงพอสำหรับการตรวจสอบข้อเท็จจริง
“สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดคือมันช่วยให้เรา “เห็นข้อเท็จจริง” และจัดลำดับเหตุการณ์ตามเวลาได้ชัดเจนขึ้น ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ไหน และเมื่อไหร่"
ข้อมูลดาวเทียมค่อนข้างเปิดเผย ตรวจสอบได้ ไม่ถูกบิดเบือนด้วยเรื่องเล่าหรือคำกล่าวอ้างจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนาธาน รูเซอร์ ชี้
การยับยั้งความขัดแย้งและสร้างความเชื่อมั่น
ภาพดาวเทียมไม่อาจหยุดสงครามด้วยตัวมันเอง แต่สามารถใช้เป็นหลักฐานกลางระหว่างคู่ขัดแย้ง
“เราสามารถยืนยันได้ว่ามีการสร้างแนวป้องกัน เคลื่อนย้ายกำลังพล หรือการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหรือไม่” นาธาน อธิบาย
“ข้อมูลแบบนี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและทำให้การเจรจามีหลักฐานที่เป็นกลาง”
ในอดีต ดาวเทียมถูกใช้เพื่อยืนยันว่าประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติตามพันธกรณีนิวเคลียร์ของตนจริงหรือไม่ และทุกวันนี้มันยังมีบทบาทคล้ายกันในการป้องกันการบานปลายของความขัดแย้ง

ภาพหมู่บ้านของชาวโรฮิงยาที่ภาพถ่ายดาวเทียมจับภาพความเสียหายได้ เมื่อปี 2024 Credit: ASPI
เครื่องมือเปิดเผยสิ่งที่ถูกปิดบัง
นาธาน ยอมรับว่า ดาวเทียมถูกใช้เป็นเครื่องมือสอดแนมมาตลอด แต่ก็เป็น เทคโนโลยี ที่สามารถปกป้องความจริงได้เช่นกัน
เขายกตัวอย่างเหตุโจมตีมัสยิดในซีเรีย ซึ่งเคยมีการพยายามบิดเบือนข้อมูล แต่ก็มีการใช้ข้อมูลจากภาพดาวเทียมเพื่อหาความจริงของภาพมัสยิดที่ถูกทำลาย
หรืออย่างกรณีอื่น ๆ เช่นการรุกรานอิรักในปี 2003 เขาชี้ว่าหากในเวลานั้นสาธารณชนมีข้อมูลดาวเทียมแบบที่เปิดเผยในปัจจุบัน บทสนทนาและการตัดสินใจทางการเมืองอาจไม่เหมือนเดิม
“ผมมักคิดถึงกรณีอิรักปี 2003 ตอนนั้นดาวเทียมยังอยู่ในมือรัฐบาลและข่าวกรองเท่านั้น"
ถ้าเมื่อก่อนเรามีภาพดาวเทียมเปิดเผยแบบทุกวันนี้ บางทีการถกเถียงและการตัดสินใจเรื่องสงครามอาจต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงนาธาน รูเซอร์ กล่าว
ข้อจำกัดและความหวังในอนาคต
แม้ดาวเทียมจะเปิดหน้าต่างสู่ความจริง แต่ก็เหมือนเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีข้อจำกัดในตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้วมันเป็นเพียงภาพจากหลายพันกิโลเมตรเหนือพื้นดิน ไม่สามารถตอบคำถามทุกอย่างได้
“สิ่งที่ภาพถ่ายดาวเทียมทำได้ดีคือให้ ‘ภาพรวม’ ของสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ภาพเหล่านี้ชี้ให้เห็นแนวป้อมปราการและการเสริมกำลังที่ทั้งสองฝ่ายสร้างขึ้นเพื่อความมั่นคงก่อนการปะทะ"
"แต่สิ่งที่มันไม่ได้บอกเราคือ ใครเป็นฝ่ายยิงก่อน "
นาธานยังเสริมว่าภาพที่มีความละเอียดสูงที่สุดยังถูกควบคุมโดยรัฐบาลและหน่วยข่าวกรอง อย่างไรก็ตาม ดาวเทียมทำสิ่งหนึ่งได้แน่นอน
คือบันทึกและเผยแพร่สิ่งที่บางฝ่ายอาจพยายามปกปิด ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านที่ถูกเผาในเมียนมา ความเสียหายในฉนวนกาซา หรือโครงสร้างคุมขังชาวอุยกูร์ในซินเจียง
แม้สื่อและองค์กรสิทธิมนุษยชนไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่เหล่านี้ แต่กล้องจากภาพถ่ายจากอวกาศยังคงโคจรผ่านและจับภาพหลักฐานของความจริงที่เกิดขึ้น

ภาพถ่ายดาวเทียมสามารถแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพในพื้นที่พิพาท Credit: USGS/unsplash
“ข้อมูลจากอวกาศทำให้เรารู้ได้อย่างแม่นยำว่าผู้คนต้องการความช่วยเหลือที่ไหนเกือบจะทันที และช่วยให้การช่วยเหลือตรงจุดและรวดเร็วขึ้นมาก” นาธานย้ำ
นาธานกล่าวว่า ทุกความขัดแย้งในปัจจุบันเหมือนจะจมอยู่กับข้อมูลที่บิดเบือนและการเล่าเรื่องที่ถูกดึงไปใช้ทางการเมือง
ทำให้ยากขึ้นเรื่อย ๆ ที่จะตัดผ่านชั้นของข้อมูลเหล่านี้เพื่อเข้าถึงความจริง เราไม่สามารถพึ่งเพียงสำนักข่าวรายงานเหตุการณ์อย่างเดียวได้อีกต่อไป
และเทคโนโลยีนี้อาจเป็นสิ่งที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงความจริงและสามารถตรวจสอบข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมาว่าถูกต้องหรือไม่
“สิ่งสำคัญคือการที่ประชาชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือแม้แต่ผู้ตัดสินใจทางนโยบาย สามารถเข้าถึงภาพถ่ายดาวเทียมเหล่านี้ได้เอง ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเองทั้งหมด แต่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของภาพ และความน่าเชื่อถือของข้อสรุปที่ถูกหยิบไปใช้ประกอบการรายงานหรือการตัดสินใจได้”
"ดาวเทียมอาจไม่หยุดสงคราม แต่สามารถหยุดไม่ให้ ความจริงถูกกวาดซ่อนไว้ใต้พรม และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสันติภาพ" นาธานทิ้งท้าย
ฟังบทสัมภาษณ์ของนาธาน รูเซอร์ ได้ที่นี่:
ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram
เรื่องราวที่น่าสนใจ

สงครามชายแดนในกระแสสื่อ: จากแนวรบสู่สนามข่าว