ปี 2050 ถูกวางให้เป็นหมุดหมายสำคัญของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นปีที่พลังงานจากฟาร์มกังหันลมจะเข้ามาแทนที่พลังงานจากเหมืองถ่านหิน และประเทศออสเตรเลียจะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์อย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พรรคเนชันแนลส์ได้ประกาศยุติการสนับสนุนแผนดังกล่าว หลังจากมีมติเป็นเอกฉันท์ในที่ประชุมพรรค
การตัดสินใจครั้งนี้หมายความว่าพรรคจะถอนคำมั่นเดิมที่เคยให้ไว้ในการบรรลุเป้าหมาย “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050” (Net Zero) ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลออสเตรเลียทุกยุคทุกสมัยให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ไม่ว่าฝ่ายการเมืองใด
ภายหลังการประชุม เดวิด ลิตเทิลพราวด์ หัวหน้าพรรคเนชันแนลส์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า
“เมื่อออสเตรเลียมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงร้อยละหนึ่งของทั้งโลก มันคงยากที่เราจะช่วยลดการปล่อยก๊าซในระดับโลกได้มากกว่านี้”
นโยบาย Net Zero ยังเป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดความเห็นต่างภายในพรรคเสรีนิยม (Liberal Party) เช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากพรรคพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งรัฐบาลกลางเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
อ่านเพิ่มเติม

สภาพภูมิอากาศแปรปรวนเป็นภัยคุกคามมวลมนุษย์ในปี 2023
แดน เทฮาน โฆษกพรรคฝ่ายค้านด้านพลังงาน ระบุว่า พรรคเสรีนิยม น่าจะใช้เวลาประมาณ 6–9 เดือนหลังการเลือกตั้งรัฐบาลกลาง ในการตัดสินใจจุดยืนของพรรคต่อประเด็นนี้ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม
แล้ว“Net Zero” คืออะไร และเหตุใดจึงกลายเป็นประเด็นถกเถียงในทางการเมืองของออสเตรเลีย
Net Zero คืออะไร?
คำว่า “Net Zero” เป็นแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างใหม่ ซึ่งเริ่มปรากฏในงานวิจัยต่าง ๆ ช่วงทศวรรษ 2000 โดยมีสาระสำคัญคือ “มนุษย์จะต้องไม่เพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศอีกต่อไป” เพื่อชะลอภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
รองศาสตราจารย์รูธ มอร์แกน ผู้อำนวยการศูนย์ประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) อธิบายกับ เอสบีเอส นิวส์ว่า
“แนวคิดเบื้องหลัง Net Zero คือ ประเทศต่าง ๆ ควรทำงานเพื่อให้แน่ใจว่าปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่พวกเขาปล่อยออกมานั้น จะถูกชดเชยหรือหักล้างด้วยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถดูดซับกลับเข้าสู่สิ่งแวดล้อมได้”
“เพื่อให้เกิดสมดุล ซึ่งในที่สุดหมายความว่าเราจะไม่เพิ่มก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศอีกต่อไป”
แนวคิดนี้ต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองและการทูตด้านสภาพภูมิอากาศ โดยถูกเสนอให้เป็นแนวทางแก้ไขภาวะโลกร้อน และได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของ ข้อตกลงปารีสปี 2015 (Paris Agreement) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย
อ่านเพิ่มเติม

หรือโลกจะเหลือแต่สุสานปะการัง
ข้อตกลงปารีสมีเป้าหมายเพื่อจำกัดภาวะโลกร้อนให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และเป้าหมายในอุดมคติคือการจำกัดภาวะโลกร้อนไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภายในปี 2050 โดยมีแนวคิดเรื่อง “Net Zero” เป็นองค์ประกอบสำคัญของเป้าหมายนี้
รองศาสตราจารย์รูธ มอร์แกน (Ruth Morgan) กล่าวอธิบายว่า
“แนวคิดของข้อตกลงนี้คือ การที่ประเทศต่าง ๆ จะร่วมมือกันเพื่อไม่ให้ระบบเศรษฐกิจดำเนินไปในรูปแบบเดิมเหมือนที่ผ่านมา” เธอกล่าวต่อว่า
“การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ถือเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ เพราะแต่ละประเทศมี ‘เป้าหมายระดับชาติ’ ภายใต้ข้อตกลงปารีสที่พยายามจะทำให้สำเร็จ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามไม่ให้มีการเพิ่มก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้นเรื่อย ๆ”
จากข้อมูลจากโครงการ Climate Action Tracker ซึ่งเป็นโครงการวิจัยอิสระที่ติดตามและประเมินการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ระบุว่า ณ เดือนตุลาคม 2025 มี 145 ประเทศทั่วโลกที่ได้ประกาศ หรืออยู่ระหว่างการพิจารณากำหนดเป้าหมาย Net Zero
ในออสเตรเลีย “Net Zero” หมายถึงอะไร
รัฐบาลออสเตรเลียได้ให้คำมั่นว่าจะบรรลุเป้าหมาย การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 และตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซระยะกลางลง 62–70% ภายในปี 2035 เมื่อเทียบกับระดับการปล่อยในปี 2005
หนึ่งในเป้าหมายสำคัญคือการทำให้ ร้อยละ 82 ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2030 ซึ่งถือเป็นหัวใจของความพยายามในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการไปถึงตัวเลขเหล่านี้เป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และแรงต้านทางการเมืองภายในประเทศ
ดร.ฟาเตเมห์ ซาเลฮี (ประธานเครือข่ายวิชาการขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Academic Impact Hub) จากมหาวิทยาลัยแมคควอรี (Macquarie University) กล่าวว่า
“เศรษฐกิจของออสเตรเลียผูกพันกับเชื้อเพลิงฟอสซิลมานานหลายทศวรรษ ปัจจุบันถ่านหินและก๊าซยังคงคิดเป็นประมาณร้อยละ 65 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศ”
เธอกล่าวต่อว่า
“เป้าหมายที่ตั้งไว้นั้นถือว่าท้าทายแต่สามารถทำได้ หากนโยบาย โครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาทักษะแรงงานดำเนินไปพร้อมกัน”
“การบรรลุเป้าหมายเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยแนวทางแบบองค์รวม ที่ผสมผสานเทคโนโลยีและแนวทางลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งพลังงานที่หลากหลายเข้าด้วยกัน”
ขณะที่รองศาสตราจารย์รูธ มอร์แกน กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้ออสเตรเลียเข้าใกล้เป้าหมาย Net Zero มากขึ้นคือการลดการถางป่าและการทำลายพื้นที่พืชพรรณธรรมชาติ
“ในอดีต การถางป่าเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้น หากเราสามารถชะลอการตัดไม้ทำลายป่าและจำกัดการเคลียร์พื้นที่ป่าได้ ก็จะช่วยลดผลกระทบได้เช่นกัน”
ทำไมพรรคเนชั่นแนลส์จึงถอนตัวจากแผน Net Zero
นับตั้งแต่พันธมิตรพรรคฝ่ายร่วมค้าน (Coalition) พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งรัฐบาลกลางครั้งประวัติศาสตร์ กลุ่มต่าง ๆ ภายในพรรคได้ออกมาแสดงความเห็นวิพากษ์ต่อแผน Net Zero อย่างต่อเนื่อง
แต่การประกาศของพรรคเนชันแนลส์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่แสดงการถอนตัวจากเป้าหมายดังกล่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรก
การตัดสินใจนี้คาดว่าจะสร้างความไม่พอใจให้กับสมาชิกพรรคเสรีนิยมสายกลางบางส่วน ที่ต้องการให้พรรคยังคงยึดมั่นในเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050
อย่างไรก็ตาม เดวิด ลิตเทิลพราวด์ หัวหน้าพรรคเนชันแนลส์ แย้งว่าการถอนตัวจากนโยบาย Net Zero ไม่ได้หมายความว่าพรรคปฏิเสธปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
“สิ่งที่เรากำลังพูดคือ ยังมีแนวทางที่ดีกว่า ถูกกว่า และยุติธรรมกว่าที่จะจัดการกับปัญหานี้ได้” เขากล่าว
พรรคเนชันแนลส์ ซึ่งมีฐานเสียงหลักอยู่ในพื้นที่ภูมิภาค ระบุว่า ออสเตรเลียได้ทำเกินในส่วนของตนแล้วในการลดมลพิษคาร์บอน และเสนอว่าเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซควรถูกกำหนดตาม “ค่าเฉลี่ยของประเทศสมาชิก OECD ที่มีสภาพเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน”
นาย ลิตเทิลพราวด์ยังกล่าวอีกว่า การถอนตัวจากเป้าหมาย Net Zero จะเป็นผลดีต่อประชาชนทุกกลุ่ม เพราะจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในครัวเรือน
อย่างไรก็ตาม รองศาสตราจารย์รูธ มอร์แกน เตือนว่า การละทิ้งเป้าหมาย Net Zero จะไม่เป็นผลดีต่อชุมชนในระยะยาว
รองศาสตราจารย์รูธ มอร์แกน แสดงความเห็นต่อการตัดสินใจของพรรคเนชันแนลส์ว่า
“เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เพราะพรรคเนชันแนลส์ควรจะเป็นพรรคที่เป็นตัวแทนของประชาชนในพื้นที่ภูมิภาคของออสเตรเลีย แต่เรากลับเห็นอยู่บ่อยครั้งว่าพรรคกำลังแทนผลประโยชน์ของกลุ่มอุตสาหกรรมเหมืองแร่รายใหญ่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเดียวกันเลย”
เธอกล่าวต่อว่า
“ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง เพราะขณะนี้เรากำลังเห็นโอกาสและเงินลงทุนจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้าสู่ชุมชนภูมิภาค ซึ่งต้องการให้พลังงานหมุนเวียนเกิดขึ้นจริง”
“แต่สิ่งที่เราเห็นคือการขัดขวางและการชะลอความเปลี่ยนแปลง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะสร้างความเสียหายอย่างมากต่อประชาชนในพื้นที่ ที่เป็นฐานเสียงของพรรคเนชันแนลส์เอง”
ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram








