ในห้องครัวหลังเลิกงานของบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ส่วนภูมิภาคของรัฐวิกตอเรีย ความขัดแย้งกลายเป็นเสียงทะเลาะที่ค่อยๆ สะสมกลายเป็นความกดดันที่ไร้ทางออก
“บี” หญิงไทยที่เดินทางมายังออสเตรเลียเกือบ 10 ปีก่อนด้วยความหวังจะสร้างครอบครัวใหม่กับคนรักต่างชาติ แต่เธอไม่รู้เลยว่าเส้นทางชีวิตในต่างประเทศไม่ได้เหมือนกับภาพที่เธอวาดไว้
เธอเปิดใจเล่าให้เอสบีเอสไทยฟังว่า
“รู้จักกับแฟน แล้วเขาเป็นคนต่างชาติคนแรกที่เราคบ พอเรามาออสเตรเลียด้วยวีซ่าท่องเที่ยว แล้วก็แต่งงานกันที่นี่ เราก็คิดว่าวัฒนธรรมเราต่างกัน ก็ต้องปรับตัว
"แต่พออยู่ด้วยกันไปสักพัก ถึงรู้ว่าเขาไม่ใช่อย่างที่เราหวัง” บีเล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ความจริงค่อย ๆเผยตัว
บีเล่าว่าอดีตสามีควบคุมให้เธอทำทุกอย่าง อย่างที่เขาอยากให้เป็น ไม่ว่าจะเป็นการห้ามเธอคบกับเพื่อน ไม่ให้เธอมีสังคมของตนเองจนถึงการควบคุมรายได้ทุกดอลลาร์ บี เปิดเผยว่า
“เราทำงานโรงงาน พอเงินเดือนรอบแรกออก เขาเอาของเราไปซื้อของเข้าบ้านหมดเลย เราไม่สามารถใช้จ่ายส่วนตัวได้ ไม่สามารถส่งให้พ่อแม่ที่บ้านได้ ทั้งที่มันเป็นเงินของเรา” เธอกล่าว
บีเชื่อว่าการอยู่เป็นครอบครัวคือการช่วยเหลือจุนเจือกัน เธอใช้เงินของเธอซื้อของเข้าบ้าน เขาใช้เงินของเขาผ่อนบ้านที่เธอคิดว่าเป็นสมบัติร่วมกัน เธอจึงไม่คิดตั้งคำถามมากเกินกว่านั้น
หากแต่การควบคุมเริ่มขยายขอบเขตขยายจากสังคม สู่การเงิน จนกระทั่งอำนาจความของความสัมพันธ์ระหว่างลูกๆ ของพวกเขา
บีเล่าว่าหนึ่งในเหตุการณ์ที่เธอ “ไม่มีวันลืม” คือวันที่อดีตคู่ชีวิตบังคับให้ลูกชายของเธอ “กินดอกผักกาดที่เพิ่งทิ้งลงถังขยะ”
“เขาไปเก็บมาจากในถังขยะล้างแล้วบังคับให้ลูกกินทั้งน้ำตาต่อหน้าลุกของเขา” บี เล่า
อ่านเพิ่มเติม

ความรุนแรงในครอบครัวและช่องทางช่วยเหลือในออสเตรเลีย
จากสนามอารมณ์สู่ความรุนแรงทางร่างกาย
นอกจากเธอสถานการณ์ที่เธอโดนควบคุมหลายทาง หนักเข้าก็กลายเป็นการทำร้ายร่างกาย
บีเล่าเหตุการณ์หนึ่งในครัว ที่เธอกำลังนั่งอ่านข้อมูลในกลุ่มคนไทยเกี่ยวกับขั้นตอนยื่นวีซ่า คู่ชีวิตของเธอเข้าใจผิดคิดว่าเธอต้องการ “ใช้เขาเป็นทางลัด”
เธอพยายามอธิบายอย่างใจเย็นว่าเพียงเล่าเรื่องที่อ่านมา แต่กลับถูกทำร้ายร่างกาย
เขาหันกลับมาผลักหนูชนกับประตูในครัว หนูร่วงไปกองกับพื้นต่อหน้าลูกบี เล่า
บีไม่รู้จะทำอย่างไร จึงหยิบกุญแจรถและออกจากบ้าน พอเธอหายไปนาน เขาจึงโทรกลับมาง้อให้กลับบ้าน บ้านที่เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
ความสัมพันธ์ที่ถูกควบคุมด้วยสถานะวีซ่า
สิ่งที่ผู้ย้ายถิ่น และผู้หญิงต่างชาติที่แต่งงานกับชาวออสเตรเลียรู้สึกไม่มั่นคง คือสถานะวีซ่าที่ผูกอนาคตของตนไว้กับผู้สนับสนุน (sponsor)
“ผู้ชายจะรู้สึกว่าเขามีพาวเวอร์ เขาเป็นสปอนเซอร์ เขาจะทำยังไงกับเราก็ได้ เราคือลูกไก่ในกำมือของเขา” บีกล่าว
วันที่เธอป่วยและเขาไล่เธอออกจากบ้าน เขาบอกเธอว่าเขาเขียนจดหมายส่งถึง Department of Home Affairs เพื่อ ขอยกเลิกการเป็นผู้สนับสนุนวีซ่าของเธอและลูกและขอให้ส่งเธอออกนอกประเทศ
เมื่อเธอเห็นอีเมลฉบับนั้น บีบอกว่ามันเจ็บ เสียใจจนไม่พูดไม่ออก
"พอเห็นจดหมายที่เขาเขียน มันเจ็บ จนไม่รู้จะเจ็บยังไง เจ็บจนไม่มีน้ำตาจะไหลออกมา"
ไม่เพียงเท่านั้นจากเหตุการณ์นี้ยังทำให้เธอรู้ว่า บ้านที่เธอคิดว่าเป็นบ้านของครอบครัวนั้น มันไม่เคยมีอยู่จริง
บีอธิบายว่า ตั้งแต่วันที่เธอเข้ามาในออสเตรเลียโดยที่ตอนนั้นยังไม่เข้าใจภาษาอังกฤษมากนัก เขาพาไปเปิดบัญชีธนาคาร พาไปกรอกแบบฟอร์ม และให้เซ็นในเอกสารที่เขาบอกว่าเป็น “เอกสารเจ้าของบ้านร่วม” แต่เมื่อเวลาผ่านไป เธอพบว่ามันคือเอกสารที่ทำให้เธอ “ไม่มีสิทธิ์ในบ้านของครอบครัว”
เขาหลอกให้หนูเซ็นเอกสารนั้นเขาบอกว่าหนูยินยอมที่จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบ้านหลังนั้นบี เปิดเผย

บีเผยอยากให้เรื่องของเธอเป็นแรงบันดาลใจและเป็นกำลังใจให้กับผู้หญิงหลายๆ คนที่ยังอยู่ในวังวนของความรุนแรงในครอบครัว Credit: Supplied
วันที่กล้าลุกขึ้นยืน
บีเล่าถึงเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งว่า ในช่วงที่เธอไม่สบายและต้องได้รับการผ่าตัด แต่เมื่อกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้เพียงสิบวัน
เธอจำได้ดีว่าความเจ็บปวดจากแผลผ่าตัดยังไม่หายดี แต่ในเช้าวันนั้น เธอถูกยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งพร้อมคำสั่งให้ย้ายออกจากบ้านที่เธอคิดว่าเป็นของครอบครัว
“หนูยังเดินไม่ได้เลยค่ะ เลือดตรงแผลมันยังซึม เขาให้หนูกับลูกออกจากบ้านทันที” บีเล่า
เธอไม่รู้จะทำอย่างไร จึงเดินออกจากบ้านเดินไปยังทะเลสาบ และนั่งลงร้องไห้ใต้ต้นไม้ เธอถามตัวเองว่า “จะพาลูกไปอยู่ที่ไหน เงินก็ไม่มี”
ไม่นานหลังจากนั้น หญิงชราเพื่อนบ้านที่เดินผ่านเห็นเธอนั่งร้องไห้ใต้ต้นไม้ก็เข้ามาถามไถ่ เธอบอกให้บีเล่าความจริงและพาบีกลับไปที่บ้าน แจ้งให้สามีซึ่งเป็นอดีตตำรวจมาฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนตัดสินใจโทรหาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยังปฏิบัติงานอยู่เพื่อขอความช่วยเหลือ
“เขาบอกหนูว่า ห้ามย้ายออกไปไหน ให้รอ เดี๋ยวเขาจะเริ่มดำเนินการให้” บีกล่าว
อ่านเพิ่มเติม

เข้าใจอุปสรรคของผู้รอดชีวิตจากความรุนแรง
การประสานงานเริ่มต้นขึ้นทันที เจ้าหน้าที่ได้ทำการติดต่อมาและช่วยหาบ้านใหม่ให้บีและลูกมีที่พักที่ปลอดภัย การย้ายออกในครั้งนั้นเป็นการจบความสัมพันธ์อย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ใช่จุดจบของการคุกคาม
“เขายังตามมาหาหนู เช้าก็มาหา เย็นก็มาหา แอบมาตัดหญ้าให้ พอเขาอยากได้อะไร เขาก็บอกว่าเรายังเป็นสามีภรรยากันอยู่ แต่พอเขากลับบ้านเขา เขาก็บอกว่าความสัมพันธ์เราจบแล้ว” บีเล่า
ความสับสนและกังวลกับความไมาแน่นอนของสถานะวีซ่าที่ต้องขึ้นอยู่กับผู้ที่เป็นสปอนเซอร์ ทำให้บีเกือบซื้อตั๋วกลับไทย
แต่เธอได้ลองโพสต์เรื่องราวของเธอในกลุ่มคนไทย หลังจากนั้นจึงมีคนติดต่อเข้ามาเพื่อช่วยเหลือประสานกับหน่วยงานด้านความรุนแรงในครอบครัว
“พี่เขาบอกว่า ใจเย็นๆ เราแจ้งกับกับองค์กรต่างๆ กับอิมมิเกรชันได้ เดี๋ยวพี่จะช่วยประสานงาน” บีเล่า
เอกสารทางการแพทย์ หลักฐานรอยฟกช้ำ บันทึกการพบแพทย์ และข้อมูลจากหน่วยงานสนับสนุน ล้วนถูกนำมาประกอบคำชี้แจงต่อทางการ เธอบอกกับเอสบีเอสไทยว่า ในวันที่มืดมนที่สุด ลูกคือพลังใจเดียวของเธอที่ทำให้ไปต่อ
คิดถึงลูกค่ะ เราพาเขามาแล้ว เราต้องสู้เพื่อลูกเดินต่อไปให้ได้บี กล่าว
วันนี้บีและลูกได้รับสถานะที่มั่นคงแล้ว เธอบอกว่ามันคือชัยชนะต่อตัวเอง
“ดีใจที่วันนั้นไม่ยอมแพ้ค่ะ มันเหมือนเราถือธงชัยชนะได้ด้วยตัวเอง”
บีบอกกับเราว่า อยากให้เรื่องของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงหลายๆคนที่ยังอยู่ในวังวนของความรุนแรงในครอบครัว เธอบอกว่าทุกเรื่องมีทางออกเสมอ และทุกชีวิตมีค่าเกินกว่าที่จะให้ใครมาเหยียบย่ำภายใต้กรงของความรัก




