หลังจากเรื่องราวของ “บี” ผู้หญิงไทยที่เคยเผชิญความรุนแรงในครอบครัว ทั้งเรื่องการเงิน สังคม ไปจนถึงถูกทำร้ายร่างกาย และหนึ่งในกระบวนการควบคุมของอดีตสามีของเธอคือ การใช้สถานะวีซ่ามาเป็นเครื่องมือต่อรอง
เอสบีเอสไทยชวนคุณมาถอดรหัส“โครงสร้าง” ที่อยู่เบื้องหลังอำนาจการควบคุมของฝ่ายผู้กระทำ โดยเราจะวิเคราะห์เรื่องนี้ ผ่านสายตาของ ศาสตราจารย์ มารี ซีเกรฟ นักวิจัยด้านความรุนแรงต่อผู้ย้ายถิ่น จากมหาวิทยาลัย เมลเบิร์น
วีซ่ากลายเป็น “อาวุธ” ในความสัมพันธ์ได้อย่างไร
ศ.มารี ซีเกรฟอธิบายว่า ระบบวีซ่าของออสเตรเลียนั้น “ไม่ได้เป็นกลาง” สำหรับผู้หญิงที่เผชิญความรุนแรงในครอบครัว แต่กลับทำให้พวกเธอมีความเสี่ยงมากขึ้น
โดยที่ ศ. มารี ระบุว่าประเด็นหลักก็คือการเข้าถึงความปลอดภัยและการสนับสนุนที่จำกัดเพราะผู้หญิงที่อยู่บนวีซ่าชั่วคราวและ ไม่ได้อยู่บนเส้นทางสู่การเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร หรือ พีอาร์ (Permanent residency, PR) หรือยังอยู่ในสถานะวีซ่า ประเภทต่างๆ เช่น partner visa
กลุ่มคนเหล่านี้มักเข้าถึงบริการช่วยเหลือเช่น เงินช่วยเหลือ ที่พักฉุกเฉิน หรือบริการบางประเภท ได้น้อยกว่าหรือยากกว่าผู้ที่มีสถานะพีอาร์ หรือผู้ที่ได้รับสัญชาตออสเตรเลียแล้ว

ศาสตราจารย์มารี ซีเกรฟ นักวิจัยด้านความรุนแรงต่อผู้ย้ายถิ่น จากคณะสังคมศาสตร์และรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย เมลเบิร์น Source: Supplied / Monash University (supplied)
บางเคส ผู้ชายชวนแต่งงาน บอกให้ผู้หญิงเข้ามาด้วยวีซ่าท่องเที่ยว แล้วอ้างว่าจะยื่น partner visa ให้ แต่ไม่ทำจริง ปล่อยให้ผู้หญิงติดอยู่ในความรุนแรง โดยแทบไม่มีทางเข้าถึงสิทธิในออสเตรเลีย
และในหลายกรณีแทบไม่มีผลกับผู้กระทำ แม้จะใช้สถานะวีซ่าควบคุมซ้ำๆ
ระบบตรวจคนเข้าเมืองและรัฐอาจบอกว่า เขาไม่สามารถถอนสปอนเซอร์คุณได้ง่าย ๆ มันมีขั้นตอนและจดหมายแจ้งให้คุณรับรู้แต่ปัญหาคือผู้หญิงไม่รู้สิ่งเหล่านี้ศาสตราจารย์ มารี ซีเกรฟ ชี้
มายาคติของระบบวีซ่า
ศ.มารีชี้ว่า การเข้าใจสถานะวีซ่า สิทธิ และข้อผูกพันของตัวเองเป็นเรื่องยากสำหรับทุกคนไม่เฉพาะผู้หญิงย้ายถิ่น เพราะระบบวีซ่ามีหลายประเภท เงื่อนไขต่างกัน
ข้อมูลบางอย่างสื่อสารในแบบที่ “คิดว่า” ทั้งสองฝ่ายในความสัมพันธ์ได้รับเท่า ๆ กัน แต่จริง ๆ แล้ว ผู้กระทำมักเป็นฝ่ายที่ถือข้อมูลมากกว่า
ศ. มารี ยังระบุว่า จากข้อมูลของเว็บไซต์อย่าง Home Affairs แม้จะเขียนว่ามีการสนับสนุนผู้ประสบความรุนแรง แต่ยังใช้ถ้อยคำที่มีนัยว่า “ไม่รับประกันการช่วยเหลือ” ทำให้ผู้หญิงลังเลว่าจะกล้าออกมาขอความช่วยเหลือดีหรือไม่
ศ.มารีบอกว่า หนึ่งใน “มายาคติ” ที่ขวางการแก้ปัญหาคือ ความเชื่อว่าถ้าทำให้ผู้หญิงเข้าถึงความปลอดภัยง่ายขึ้น เช่น ออก bridging visa สำหรับเหยื่อทุกคน ผู้คนจะอ้างว่าเป็นเหยื่อความรุนแรงเท็จเยอะขึ้น
“ในงานวิจัยและการทำงานกับภาคส่วนต่าง ๆ เราไม่เห็นหลักฐานรองรับมายาคตินี้เท่าไร แต่กลับเห็นชัดว่าผู้หญิงจำนวนมากตกอยู่ในช่องว่างของระบบ และไม่ได้รับการคุ้มครองเท่าที่ควร”
อ่านเพิ่มเติม

ความรุนแรงในครอบครัวและช่องทางช่วยเหลือในออสเตรเลีย
นโยบายแห่งชาติกับการช่วยเหลือผู้หญิงในสถานการณ์จริง
ศ. มารี ระบุว่ามีหลายแนวทางที่รัฐบาลสามารถปรับปรุงนโยบายเพื่อช่วยให้ผู้หญิงได้รับความคุ้มครองมากขึ้น เช่น การออก bridging visa สำหรับผู้รอดชีวิตความรุนแรง โดยไม่ผูกกับประเภทวีซ่าเดิม มีการสื่อสารที่ชัดเจนว่า “ไม่ว่าวีซ่าอะไร คุณมีสิทธิได้รับความปลอดภัยและการสนับสนุน”
และการสื่อสารผ่านหลายช่องทาง ทั้งข้อมูลแปลภาษา การฝึกอบรมบุคลากรในระบบสุขภาพ การศึกษา และบริการชุมชน เพื่อให้ “คนหรือหน่วยงานหน้าด่านที่อยู่ใกล้ผู้หญิงที่สุด” รู้ว่าจะส่งต่อไปที่ไหน

สุ ชัยธรรม ผู้ให้คำปรึกษาด้านความรุนแรงในครอบครัวและบาดแผลทางใจ (Specialist family violence and trauma counsellor) Credit: Supplied/ Su Chaitham
คำแนะนำจากนักจิตวิทยา
ด้าน สุ ชัยธรรม ผู้เชี่ยวชาญการให้คำปรึกษาด้านความรุนแรงในครอบครัวและบาดแผลทางใจ (Specialist family violence and trauma counsellor) ย้ำว่า “ความรุนแรงในครอบครัว” ไม่ใช่แค่การทำร้ายร่างกายอย่างเดียวเท่านั้น
“การควบคุมและการใช้อำนาจ พบได้ในทุกกลุ่มผู้หญิง ทุกเพศทุกวัย มีทั้งที่ผู้กระทำเป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือเพศเดียวกัน แต่จากสถิติ กลุ่มผู้หญิงยังเป็นผู้เสียหายหลัก”
เธออธิบายว่า ในออสเตรเลีย ปัญหานี้ถูกยกระดับเป็น “ปัญหาระดับชาติ” เพราะงานวิจัยสรุปตรงกันว่า รากของความรุนแรงในครอบครัวคือ ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างเพศ สุ อธิบายว่า
“ผู้ชายซึ่งมีกำลังกายและอำนาจมากกว่า มักใช้กำลัง ข่มขู่ บังคับ ควบคุม เพื่อให้ผู้หญิงตกอยู่ใต้อำนาจและได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ”
และความรุนแรงในครอบครัว ไม่ได้จำกัดแค่การทำร้ายร่างกาย แต่รวมถึงการด่า ดูถูก ทำให้รู้สึกด้อยค่า การควบคุมเงิน ไม่ให้ใช้เงินตัวเอง ไม่ให้มีเพื่อน ไม่ให้ติดต่อญาติ สั่งห้ามออกจากบ้าน หรือต้องขออนุญาตทุกครั้ง ทั้งหมดนี้คือการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในการมีชีวิตอย่างอิสระ
อ่านเพิ่มเติม

เข้าใจอุปสรรคของผู้รอดชีวิตจากความรุนแรง
สัญญาณเตือน (Red Flags) ที่ไม่ควรมองข้าม
สุบอกว่า จุดเริ่มต้นให้สังเกตคือ “ความรู้สึกของตัวเราเอง”
“ถ้าเมื่อไหร่รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ไม่มั่นคง รู้สึกว่าเขาไม่ให้เกียรติ (respect) เราต้องตระหนักเลยว่าความสัมพันธ์นี้อาจไม่ healthy แล้ว”
Red flags ที่เธอเน้น เช่น ถูกพูดจาไม่ให้เกียรติเป็นประจำ ถูกควบคุมว่าจะเจอใคร คุยกับใคร ทำงานเองแต่ไม่มีสิทธิใช้เงินตัวเอง รู้สึกเหมือนไม่มีสิทธิอะไรเลย”
“เราได้ยินข่าวผู้หญิงถูกทำร้าย ถูกฆ่าด้วยน้ำมือคนรักบ่อยมาก ถ้าไม่อยากเป็นหนึ่งในสถิตินั้น ให้คิดถึง red flag ของตัวเองให้ดี”
สำหรับสถานการณ์ที่เริ่มมีการใช้กำลัง สุเน้นว่า หากคุณรู้สึกไม่ปลอดภัยให้รีบติดต่อขอความช่วยเหลือทันที
“ถ้าไม่ปลอดภัย โทร 000 ได้ทันที ถ้าโทรไม่ได้ ให้พยายามหนีไปหาคนข้างนอกก่อนแล้วขอให้เขาช่วยติดต่อตำรวจ
“อย่าอธิบาย อย่าพยายามใช้เหตุผลในตอนที่เขาเดือด เพราะตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่ในสภาวะที่รับฟังอะไรได้ เอาตัวออกมาก่อนคือสำคัญที่สุด เดินออกจากห้อง จากบ้าน ไปที่ที่มีคนอยู่เยอะ เช่น ร้านค้า ปั๊มน้ำมัน ปากซอย หรือบ้านเพื่อนบ้านที่เรารู้จัก ที่ที่มีกล้องวงจรปิด ชุมชน หรือคนพลุกพล่าน จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย ”
จะทำอย่างไรหากวีซ่ากลายเป็นเครื่องมือข่มขู่
ในหลายกรณีผู้หญิงไทยเล่าเหมือนกันว่า คู่ครองขู่จะเขียนอีเมลถึง Immigration ให้ส่งตัวกลับ เพื่อทำให้ผู้หญิงกลัวว่าจะถูกส่งกลับ ถ้าออกจากความสัมพันธ์ สุอธิบายว่า
สำหรับผู้หญิงต่างถิ่นที่ ไม่รู้ภาษา ไม่มีเครือข่าย ไม่รู้กฎหมายและระบบของออสเตรเลีย สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือควบคุมชั้นดีสุ ชัยธรรม กล่าว
แต่เธอก็ย้ำว่าในออสเตรเลีย มีหน่วยงานเฉพาะทางที่ช่วยได้จริง เช่น
“ที่รัฐวิกตอเรีย มีองค์กรอย่าง inTouch ที่มีทนายด้านวีซ่าและครอบครัวคอยช่วยเหลือ (ขึ้นกับเงื่อนไขแต่ละเคส) สายด่วนระดับประเทศอย่าง 1800RESPECT (24 ชม.) ถ้าพูดอังกฤษไม่ถนัด สามารถขอล่ามภาษาไทยได้ บอกได้ว่าเจอสถานการณ์แบบไหน และขอให้ช่วยประเมินว่าเข้าข่ายความรุนแรงหรือไม่”
“ขอคำแนะนำว่าถ้าจะออกจากความสัมพันธ์ มีบริการอะไรช่วยเรื่องที่พัก ค่าเช่า ค่าใช้จ่ายพื้นฐาน หรือคำสั่งศาลคุ้มครอง (intervention order) ได้บ้าง"
“อย่ากลัวที่จะกล้า”
สุฝากข้อความสำคัญถึงผู้หญิงไทยที่กำลังรู้สึกกล้าๆกลัวๆ กับความสัมพันธ์ที่เลวร้าย แต่ยังไม่กล้าเดินออกมาว่า
“อย่ากลัวที่จะ กล้า อย่างน้อยก็กล้าที่จะถามข้อมูล การมีข้อมูลจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น เรามีสิทธิมนุษยชนที่จะปกป้องคุ้มครองเรา อย่ายอมจำนนกับชะตาชีวิตตัวเองอยู่ในความสัมพันธ์ที่มันเลวร้าย”
“อยากให้เคสของบี เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงคนอื่น ๆ เห็นว่าการเดินออกมาจากความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ เป็นไปได้และคุณมีสิทธิ์ได้รับการช่วยเหลือ”




