ออสเตรเลีย 2025: ย้อนเหตุการณ์สำคัญที่ทดสอบสังคมทั้งประเทศ

ANTI IMMIGRATION PROTEST

ตำรวจพูดคุยกับผู้ประท้วงที่มีจุดยืนต่างกันทั้งสองฝ่าย ในเมืองบริสเบน Source: AAP / DARREN ENGLAND/AAPIMAGE

ปี 2025 เป็นปีที่ออสเตรเลียเผชิญหลายวิกฤตพร้อมกัน ทั้งภัยพิบัติจากสภาพอากาศสุดขั้ว ความรุนแรง และความตึงเครียดทางสังคมที่ทดสอบความเป็นหนึ่งเดียวของประเทศ ร่วมย้อนมองเหตุการณ์สำคัญในออสเตรเลียตลอดปีที่ผ่านมา และชวนตั้งคำถามว่า ประเทศนี้กำลังเปลี่ยนไปอย่างไร


ออสเตรเลียเริ่มต้นปี 2025 ด้วยฤดูร้อนที่มีสภาพอากาศสุดขั้ว ในรัฐควีนส์แลนด์

เกิดอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ทางตอนเหนือของรัฐควีนส์แลนด์ นับตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม ซึ่งกินเวลานานกว่า 1 เดือน

ยังไม่ทันที่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจะฟื้นตัว พายุไซโคลนเขตร้อนอัลเฟรดก็เคลื่อนตัวเข้าบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐควีนส์แลนด์ และตอนเหนือของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ในช่วงต้นเดือนมีนาคม

ชาวเมืองลิสมอร์ ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ต้องรับมือกับฝนตกหนักและความเสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน หลังเคยประสบเหตุน้ำท่วมรุนแรงในปี 2022

บรูซ ชาวเมืองลิสมอร์ ระบุว่านี่เป็นครั้งที่สามแล้ว ที่เขาเผชิญกับน้ำท่วมในเมืองนี้

“ใต้บ้านไม่มีอะไรเหลือแล้ว ทุกอย่างหายไปหมด แต่ชั้นบนยังมีโซฟา พรม และห้องครัว ที่เอาออกมาไม่ทัน มันสุดยอดของความลำบากเลย”

ผลกระทบจากพายุอัลเฟรดนั้นรุนแรง ทั้งลมแรง ฝนตกหนัก และน้ำท่วมเป็นวงกว้าง โดยครั้งสุดท้ายที่พายุไซโคลนส่งผลกระทบในระดับนี้ คือพายุไซโคลนโซอี เมื่อ 50 ปีก่อน
TROPICAL CYCLONE ALFRED
ภาพที่หาดเมน บีช ในไบรอน เบย์ ในวันที่ 7 มีนาคม 2025 หลังไซโคลนอัลเฟรดกระหน่ำชายฝั่งหนักที่สุดในรอบ 50 ปี Source: AAP / JASON O'BRIEN/AAPIMAGE
สภาภูมิอากาศออสเตรเลียระบุว่า สภาพอากาศสุดขั้วจากสภาวะโลกร้อนส่งผลให้ค่าเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าของอัตราเงินเฟ้อ ชาวออสเตรเลียจ่ายค่าเบี้ยประกันมากขึ้นถึง 30,000 ล้านดอลลาร์ เทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์สาหร่ายพิษเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ (algal blooms) ในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย ในเดือนมีนาคมด้วย เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในท้องถิ่น โดยบางธุรกิจรายได้ลดลงถึง 40 เปอร์เซ็นต์

ริชาร์ด คาร์รัทเธอร์ส รองนายกเทศมนตรีเขตยอร์ก เพนนินซูลาระบุว่า ชุมชนได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจิตอย่างหนัก

“มันน่ากังวลมากสำหรับเมืองของเรา ไม่มีใครอยู่บนท่าเรือเลย ไม่มีสักคนเดียว ทั้งที่ช่วงปิดเทอมปกติจะมีเด็กเป็นร้อย สิ่งที่พวกเขาเห็นใต้ท่าเรือคือสีเงิน เด็ก ๆ ถามว่า ‘ข้างล่างคืออะไร’ ซึ่งมันก็คือปลาตายทั้งหมด เหมือนเป็นพรมปลา”
A dead shark on a beach
ปลาตายบนหาดเวสต์ บีช จากวิกฤตสาหร่ายเป็นพิษในรัฐเซาท์ ออสเตรเลีย Source: AAP / Matt Turner/AAPIMAGE
ล่าสุดรายงานไต่สวนระดับรัฐบาลสหพันธรัฐในวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เสนอคำแนะนำ 14 ข้อ รวมถึงกรอบการรับมือเหตุการณ์ทางระบบนิเวศจากสภาวะโลกร้อนในระดับชาติด้วย

สำหรับเหตุอาชญากรรมสะเทือนขวัญ ในปี 2025 เกิดเหตุมือปืนยิงสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นายในรัฐวิกตอเรีย ที่เมืองพอร์พุนคาห์ ส่งผลให้ทั้งเมืองต้องล็อกดาวน์

เดซี ฟรีแมน มือปืนที่ยังคงหลบหนีอยู่ ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ก่อนจะหลบหนีไปในเขตไฮ คันทรี รัฐวิกตอเรีย

แม้จะมีการตั้งรางวัลนำจับ 1 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังไม่สามารถพบตัวฟรีแมน ผู้บัญชาการกรมตำรวจรัฐวิกตอเรียไมค์ บุชกล่าวว่า

“ทุกอย่างเป็นไปได้ เขารู้จักพื้นที่นั้นดี แม้ว่าเราจะมีผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ แต่เขาย่อมรู้จักพื้นที่ดีกว่าเรา นั่นคือเหตุผลที่เราระดมผู้เชี่ยวชาญทุกด้าน และอาศัยความรู้จากคนในท้องถิ่นสนับสนุนด้วย”
A composite image of a man's head on the left and two officers in tactical gear on the right
เดซี ฟรีแมน มือปืนที่สังหารตำรวจในรัฐวิกตอเรีย เขายังคงหลบหนีอยู่ และมีรางวัลนำจับ 1 ล้านดอลลาร์ Credit: Victoria Police/Simon Dallinger/AAP
รัฐวิกตอเรียยังมีคดีเห็ดพิษที่เป็นที่จับตามองทั้งในและต่างประเทศ หลังมีคำพิพากษาให้เอริน แพทเทอร์สัน มีความผิดทุกข้อกล่าวหา

จากเหตุญาติทางสมรสของแพทเทอร์สันรับประทานมื้อกลางวันที่ปนเปื้อนเห็ดพิษ และเสียชีวิต 3 ราย ที่เมืองมอร์เวลล์ รัฐวิกตอเรีย

ผู้พิพากษาคริสโตเฟอร์ บีล ตัดสินให้เอริน แพทเทอร์สันจำคุกโดยไม่สามารถขอทัณฑ์บนอย่างต่ำ 33 ปี

การไต่สวนคดีกินเวลา 11 สัปดาห์ และทีมทนายของแพทเทอร์สันยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาแล้ว
ตลอดปี 2025 มีเหตุความรุนแรงและการประท้วงทั่วออสเตรเลีย โดยในวันที่ 3 สิงหาคม ชาวออสเตรเลียนับหมื่นคนร่วมเดินขบวนข้ามสะพานซิดนีย์ ฮาร์เบอร์ บริดจ์ เพื่อเรียกร้องการดำเนินการต่อสถานการณ์ความหิวโหยและอดอยาก ในฉนวนกาซา หลังเกิดสงครามและการปิดล้อมบริเวณต่อเนื่องนานกว่า 2 ปี

นับเป็นการเดินขบวนครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งมีการประเมินว่ามีผู้ร่วมชุมนุมราว 300,000 คน

เหตุการณ์นี้จุดชนวนคำถามระหว่าง “สิทธิในการประท้วงตามรัฐธรรมนูญ” และ “ความปลอดภัยของสาธารณชน” และคริส มินนส์ มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า

“ผมต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ ความปลอดภัยของชุมชน กับสิทธิของประชาชนในการประท้วง และไม่ควรมีใครคิดว่าสะพานจะเปิดให้ใช้ได้โดยไม่มีข้อจำกัด เราจะไม่ปล่อยให้เกิดสถานการณ์ที่สัปดาห์หนึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านวัคซีน สัปดาห์ถัดมาเป็นกลุ่มคริติคัล แมส และสัปดาห์ต่อไปเป็นการประท้วงด้านสิ่งแวดล้อม”
Protesters march across the Sydney Harbour Bridge during the
ผู้ชุมนุมเดินขบวนบนสะพานฮาร์เบอร์ บริดจ์ ที่เมืองซิดนีย์ Source: LightRocket / SOPA Images/SOPA Images/LightRocket via Gett
ต่อมาในวันที่ 31 สิงหาคม กลุ่มนีโอนาซีรวมตัวเดินขบวนมาร์ช ฟอร์ ออสเตรเลีย (March4Australia) เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อสถานการณ์ค่าครองชีพสูงและสภาวะขาดแคลนที่อยู่อาศัย โดยใช้คำแสดงความเกลียดชัง มุ่งโจมตีผู้มีสีผิว

มีกลุ่มนีโอนาซีบางส่วนบุกทำลาย Camp Sovereignty พื้นที่ฝังศพศักดิ์สิทธิ์ของชนพื้นเมืองออสเตรเลีย ที่เมืองเมลเบิร์น

นาตาลี ฟาราห์ ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่า

“กลุ่มนาซีเริ่มผลักคนพื้นเมือง แล้วสถานการณ์ก็เลวร้ายลงมาก หลายคนล้มลงกระแทกกับขอบถนน มีผู้บาดเจ็บที่ศีรษะและบาดเจ็บจากการถูกกระแทกจำนวนไม่น้อย และมีอย่างน้อยสองคนที่กระดูกหัก”

ด็อกเตอร์เจมส์ โอดอนเนล จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย หนึ่งในผู้เขียนรายงานเรื่องเอกภาพทางสังคม โดยมูลนิธิสแกนลอนระบุว่า ความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นในชุมชนเป็นหนึ่งในทางแก้ปัญหา
เราพบว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนที่มีความเหนียวแน่น มีความรู้สึกถึงความเป็นเอกภาพของชาติที่ยืดหยุ่นและเข้มแข็งกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางความปั่นป่วนในช่วง 12 ถึง 24 เดือนที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่ในชุมชนที่มีความเหนียวแน่นน้อยกว่า ดังนั้น ความผูกพันและการปกป้องกันในระดับท้องถิ่น จึงอาจช่วยปกป้องเราจากความท้าทายในปัจจุบันได้
ด็อกเตอร์โอดอนเนลกล่าว
อย่างไรก็ตาม ความเป็นเอกภาพของออสเตรเลียถูกทดสอบด้วยเหตุกราดยิงในวันแรกของเทศกาลฮานุกกะห์ ที่หาดบอน ได หาดชื่อดังที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวในเมืองซิดนีย์ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม

มีผู้เสียชีวิต 16 ราย รวมถึงหนึ่งในมือปืนผู้ก่อเหตุด้วย และมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 42 คน

กรมตำรวจประกาศให้เหตุการณ์นี้เป็นการก่อการร้าย เนื่องจากเป็นการพุ่งเป้าที่ชาวยิวโดยตรง และสามารถใช้มาตรการพิเศษทำการสืบสวนคดีนี้ได้
Ten-year-old Matilda in a yellow dress, smiling with a dolphin painted on her face.
ดอกไม้ที่ประชาชนนำมาวางเพื่อไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงที่หาดบอนได เมืองซิดนีย์ Source: AAP / Mick Tsikas
ลินดา เมนาเช ประธานสภาสตรีชาวยิวแห่งชาติออสเตรเลียกล่าวว่า ชุมชนกำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ และต้องการเห็นการตอบสนองที่เข้มแข็งของรัฐบาล สำหรับการต่อต้านชาวยิว

“หากคุณไม่สามารถไปบอนได บีชได้ ไม่ว่าจะเป็นชาวออสเตรเลีย นักท่องเที่ยว ชาวซิกข์ ฮินดู ยิว หรือมุสลิม โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกผู้ก่อการร้ายยิง แสดงว่ามีบางอย่างผิดพลาดอย่างร้ายแรง ดังนั้นจำเป็นต้องมีการดำเนินการในทุกทิศทาง รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายกับถ้อยคำแห่งความเกลียดชัง และบทลงโทษที่จริงจัง ตลอดจนการให้ความรู้ว่าเราทุกคนคือชาวออสเตรเลีย สิ่งที่เกิดขึ้นกับชุมชนหนึ่ง สะท้อนถึงสุขภาวะของสังคมทั้งหมด”

นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบานีซีแถลงการณ์ถึงคำมั่นที่จะดำเนินการในเรื่องนี้

“รัฐบาลของผมจะยืนหยัดเคียงข้างชาวยิวออสเตรเลียต่อไป และจะเดินหน้าขจัดการต่อต้านชาวยิวในทุกรูปแบบ เราจะทำงานร่วมกับชุมชนต่อไป เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ชาวออสเตรเลียทุกคนต้องโอบอุ้มชุมชนชาวยิว เราจะยืนเคียงข้างพวกเขา และยืนหยัดต่อต้านการต่อต้านชาวยิว เราจะทำทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อขจัดสิ่งนี้”
ANTHONY ALBANESE BONDI BEACH SHOOTING
นายคริส มินนส์ มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ (ซ้าย) และนายแอนโทนี อัลบานีซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย (ขวา) ขณะแถลงข่าว หลังเกิดเหตุกราดยิงที่หาดบอนได ในเมืองซิดนีย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม Source: AAP / MICK TSIKAS/AAPIMAGE
นายกรัฐมนตรีอัลบานีซียังกล่าวชื่นชมประชาชนที่ร่วมช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ รวมถึงอาเหม็ด อัล-อาเหม็ด ชายเจ้าของร้านผลไม้วัย 43 ปีที่เข้าแย่งปืนจากหนึ่งในผู้ก่อการร้ายมาได้ด้วย
และอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่นับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ด้านการสานความสัมพันธ์กับชนพื้นเมืองออสเตรเลีย หลังมีการเคลื่อนไหวและความพยายามในเรื่องนี้มานานเกือบทศวรรษ

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม รัฐวิกตอเรียได้ผ่านกฎหมายทำสนธิสัญญากับชนพื้นเมืองออสเตรเลียได้สำเร็จ นับเป็นการทำสนธิสัญญาฉบับแรกของออสเตรเลีย รวมถึงการจัดตั้งองค์กรตัวแทนชนพื้นเมืองในรัฐสภารัฐวิกตอเรีย

อันตีจิลล์ กัลลาเกอร์ สตรีชนพื้นเมืองและประธานบริหาร VACCHO องค์กรดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ของชนพื้นเมืองในรัฐวิกตอเรียกล่าวว่า สนธิสัญญาเป็นสิ่งจำเป็นในการลดช่องว่างระหว่างชนพื้นเมืองและผู้ที่ไม่ใช่ชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย

“สิ่งที่ขาดหายไปจากนโยบายปิดช่องว่าง (Closing the gap) คืออำนาจในการกำหนดทิศทาง การได้มีส่วนร่วมตัดสินใจว่าเราต้องทำอะไรเพื่อปิดช่องว่างนั้น และการได้มีส่วนร่วมในการคิดหาทางออก คือสิ่งที่กฎหมายสนธิสัญญาฉบับนี้มอบให้กับองค์กรที่มาจากการเลือกตั้งของเรา”

นอกจากนี้ ในปี 2025 ออสเตรเลียยังเผชิญทั้งความเสี่ยงและความหวังในด้านสิ่งแวดล้อม เมื่อมีการตรวจพบไวรัสหัวมันฝรั่งม็อบ-ท็อป (mop-top) เป็นครั้งแรกในประเทศ ที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในรัฐแทสมาเนีย แม้ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรและสร้างความกังวลต่อความมั่นคงด้านชีวภาพ

ขณะเดียวกันก็มีข่าวดีด้านการอนุรักษ์ เมื่อมีการค้นพบประชากรของพอสซัมลีดบีทเทอร์ สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ที่เคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วถึงสองครั้ง ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์มองว่าเป็นความหวังสำคัญต่อการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ

ติดตามเอสบีเอส ไทย ได้อีกทาง เว็บไซต์ | เฟซบุ๊ก | อินสตาแกรม

Share
Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand